ขนุน
ลักษณะทางธรรมชาติ
* เป็นไม้ผลยืนต้นอายุหลายสิบปี ไม่ผลัดใบ เหมาะสำหรับเป็นไม้ผลเศรษฐกิจและไม้ร่มเงา เนื้อไม้จากต้นแก่เป็นเนื้อไม้ชั้นดี ปลูกได้ในทุกพื้นที่ ทุกภาค และทุกฤดูกาล ต้องการความชื้นสูงทั้งความชื้นผิวหน้าดินและความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ ในสวนขนุนควรมีไม้ผลยืนต้นหลากหลายแซมแทรกสลับ มีพืชพุ่มเตี้ยอายุสั้นคลุมหน้าดิน การปลูกกล้วยเอารากกระจายทั่วแปลงจะช่วยให้ต้นขนุนสดชื่นอยู่เสมอ* เป็นผลไม้ที่มีขนาดผลใหญ่ที่สุดในบรรดาผลไม้ด้วยกัน ขนุนพันธุ์ทองนาทวีมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางภาคใต้ครองแชมป์ผลไม้ยักษ์ ชนะเลิศการประกวดในงานเกษตรแห่งชาติด้วยน้ำหนักถึง 87 กิโลกรัม ปัจจุบันยังไม่มีผลไม้ใดแม้แต่ขนุนด้วยกันลบสถิตินี้ได้
* สายพันธุ์ดีที่ได้รับการรับรองพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรแล้ว คือ ฟ้าถล่ม. ทองสุดใจ. และจำปากรอบ. ส่วนพันธุ์อื่นๆที่แม้จะไม่ได้รับการรับรองพันธุ์แต่ได้รับความนิยมทั้งจากผู้ปลูกและผู้บริโภค ได้แก่ เพชรราชา (ทะวาย). ศรีบรรจง (ทะวาย). ทองประเสริฐ (ทะวาย). แม่กิมไน้ (ทะวาย). แม่เนื้อหอม (ทะวาย). แม่น้อยทะวาย (ทะวาย). จำปาเมืองระยอง. เหลืองเมืองระยอง. เหลืองบางเตย (ทะวาย). เหลืองตานาก (ทะวาย). เหลืองพิชัย (ทะวาย). ทองสมบัติ. เหรียญทอง (ทะวาย). เหรียญบาท. หนึ่งในพัน. ทองส้ม (ทะวาย). เป็นต้น * ข้อเสียของขนุนอย่างหนึ่ง คือ เมื่อช่วงผลแก่จัดใกล้เก็บเกี่ยวแล้วมีฝนตกลงมาจะทำให้คุณภาพผลเสีย รสจืดชืดหรืออมเปรี้ยว เมล็ดงอกในทำให้มีกลิ่นเหม็น แต่ขนุนพันธุ์ ทองสุดใจ กับพันธุ์ เหรียญบาท คุณภาพผลไม่เสีย ทุกลักษณะคงเป็นปกติเหมือนเดิม * ตอบสนองต่อปุ๋ยซากสัตว์และยิบซั่มธรรมชาติดีมาก โดยปุ๋ยซากสัตว์สดจะช่วยให้ติดผลดก เนื้อหนา กลิ่นดี ซังน้อย คุณภาพดี ในขณะที่ยิบซั่มธรรมชาติช่วยให้สีจัด
* ไม่ตอบสนองต่อสารพาโคลบิวทาโซลและยาฆ่าหญ้า ถ้าได้รับสารพาโคลบิวทาโซลแม้แต่เพียงละอองปลิวมากับลมจะเกิดอาการใบเล็ก กิ่งลีบเป็นกิ่งหางหนู แก้ไขด้วยการตัดแต่งกิ่งอย่างหนัก (ทำสาว) พร้อมกับตัดปลายรากบริเวณชายพุ่ม จากนั้นบำรุงเรียกรากและเรียกใบอ่อนชุดใหม่ตามปกติ นอกจากนี้สารโปแตสเซียม คลอเรต. โซเดียม ไนเตรท. ที่ใช้ในการบังคับลำไย ไม่สามารถนำมาใช้กับขนุนได้
* ปัจจุบันยังไม่มีสารเคมีหรือฮอร์โมนวิทยาศาสตร์ใดๆ บังคับให้ขนุนออกนอกฤดูกาลได้ ดังนั้นการบังคับขนุนให้ออกนอกฤดูกาลจึงต้องทำกับขนุนสายพันธุ์ทะวายเท่านั้น
* มีความทนทานต่อท่วมขังค้างนานได้น้อยกว่ามะม่วง แก้ไขด้วยการเสริมรากให้มีรากแก้ว ซึ่งรากแก้วจะรอดพ้นจากน้ำท่วมขังค้างนานได้เพราะอยู่ลึกกว่าระดับน้ำที่ซึมลงดิน จึงสามารถหาอาหารส่งไปเลี้ยงต้นระหว่างน้ำท่วมแทนรากฝอยได้
* ดอกเรียกว่า ส่า เพราะเมื่อดอกแก่จัดมีกลิ่นเหมือนส่าเหล้า ดอกตัวผู้กับดอกตัวเมียแยกกันคนละดอกแต่อยู่ในต้นเดียวกัน จำนวนดอกตัวผู้มากกว่าดอกตัวเมีย การผสมเกสรอาศัยลมและแมลงเป็นหลัก ถ้าช่วยผสมด้วยมือในช่วงเช้า (09.00-11.00 น.) โดยการนำดอกตัวผู้พร้อมผสมไปถูกสัมผัสเบาๆกับดอกตัวเมียที่พร้อมรับการผสมเหมือนกันก็จะช่วยให้การผสมติดเป็นผลดีขึ้นดอกตัวผู้มักอยู่ตามง่ามกิ่ง อยู่สูงกว่าดอกตัวเมีย ก้านดอกเล็กกว่าก้านดอกดอกตัวเมีย มีกลีบเลี้ยงขนาดเล็ก 4 กลีบแต่ไม่มีกลีบดอก เมื่อเกสรตัวผู้ได้ผสมกับเกสรตัวเมียแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำร่วงหล่นไปเองดอกตัวเมียมีลักษณะคล้ายหนามเป็นกระจุก แต่ละดอกมีรังไข่เดียว มีกลีบเลี้ยงเท่ากับดอกตัวผู้ เกสรตัวเมียเมื่อได้รับการผสมแล้วจะไม่เปลี่ยนสีแต่ติดเป็นผล
* เกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมียอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างไม่สมบูรณ์ เกิดจากขาดสารอาหาร/ฮอร์โมน หรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม (อากาศร้อนหรือฝนตกชุก) ผสมกันแล้วพัฒนาเป็นผลจะเป็นผลไม่สมบูรณ์ ไม่โต รูปทรงบิดเบี้ยว หรือผลแป้ว
* อายุผลตั้งแต่ดอกผสมติดหรือดอกเริ่มโรยถึงเก็บเกี่ยวได้ พันธุ์เบาอายุ 100-120 วัน พันธุ์หนักอายุ 160-180 วัน...........ขนุนที่ออกดอกในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. ควรตัดดอกทิ้งเพราะเป็นขนุนปี ราคาไม่ดี จากนั้นให้เริ่มบำรุงใหม่ อีกประมาณ 3-4 เดือน จะมีดอกชุดใหม่ออกมาเป็นขนุนนอการไว้ดอกและเลี้ยงผลต้องรู้ให้แน่ว่าขนุนสายพันธุ์ที่ปลูกนั้นมีอายุผลนานเท่าใด ช่วงผลแก่ตรงกับหน้าฝนหรือไม่ ถ้าผลแก่ตรงกับหน้าแล้งให้เลี้ยงไว้แต่ถ้าผลแก่แล้วตรงกับหน้าฝนก็ไม่ควรเลี้ยงให้เด็ดทิ้งตั้งแต่ยังเป็นดอก
* ผลติดเป็นพวงตั้งแต่ 2 ผลขึ้นไป ให้พิจารณาขั้วและปริมาณผลใกล้เคียง ถ้าขั้วผลของทั้งสองผลตรง สมบูรณ์ แข็งแรงดี มีผลใกล้เคียงน้อยให้บำรุงเลี้ยงไว้ทั้งสองผล แต่หากขั้วผลคดและมีผลใกล้เคียงจำนวนมาก ให้ตัดผลขั้วคดทิ้งเหลือไว้เฉพาะผลขั้วตรง ทั้งนี้ขั้วคดมักลำเลียงน้ำเลี้ยงไปบำรุงผลไม่ดี

ขนุนดีสองพันธุ์ เนื้อหวานใหญ่ดก
"นายเกษตร"
ขนุน เป็นไม้ผลอย่างหนึ่งที่นิยมปลูกและนิยมรับประทานอย่างแพร่หลายมาช้านาน
ขนุน เป็นไม้ผลอย่างหนึ่งที่นิยมปลูกและนิยมรับประทานอย่างแพร่หลายมาช้านาน
ซึ่งขนุนจะมีหลาก
คุณลักษณะของขนุนพันธุ์ดี
1. ลำต้นทรงเปล้าสูงตรงหรือกิ่งง่ามแรกสูงจากพื้น 80-100 ซม.ขึ้นไป ลำต้นแข็งแรง ต้านทานโรคและแมลงดี
2. ใบใหญ่หนาเขียวเข้ม เส้นใบใหญ่นูนชัดเจน
3. การผสมเกสรดี ติดผลดก ให้ผลทะวายปีละ 2 รุ่น หรือทยอยออกเป็นหลายรุ่น
4. รูปทรงผลกลมยาว โดยเส้นผ่าศูนย์กลางความกว้างเท่ากับ 3 ใน 4 ของความสูง ผิวเรียบหรือแป้วน้อยที่สุด
5. น้ำหนักผลไม่น้อยกว่า 10 กก. และให้เนื้อไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักรวมทั้งผล
6. ขั้วผลขนาดเล็กตรงแข็งแรง แกนหรือไส้ในเล็กยาวเรียวสม่ำเสมอ ฐานผลตั้งฉากกับขั้ว
7. หนามห่างยกสูงจากผิวและเปลือกบาง
8. ยวงใหญ่ยาว เนื้อหนา มีขนาดใกล้เคียงกันทั้งผล สีเหลืองเข้มถึงสีจำปา เนื้อแห้งหวานกรอบ กลิ่นหอมจัด เนื้อที่แกะออกมาแล้วเก็บในตู้เย็นอยู่ได้นานโดยเนื้อไม่เละแฉะ
9. ปลายยวงทั้งด้านเปลือกและด้านแกนตั้งฉาก ตรงไม่คดงอหรือพับ เนื้อบริเวณสัมผัสเปลือกหรือแกนมีขนาดเล็ก
10. เนื้อมาก ซังน้อย ซังหวานรับประมานได้ เมล็ดเล็กลีบ
11. ช่วงแก่จัดใกล้เก็บเกี่ยวมีฝนชุก รสชาติต้องไม่เปลี่ยนแปลงและเมล็ดไม่งอกใน
เทคนิคการเลือกสายพันธุ์ขนุน
1. มีชื่อเสียงรู้จักกันดีในวงการผู้ปลูกไม้ผล
2. มีประวัติเคยชนะเลิศการประกวด
3. พิสูจน์ลักษณะและคุณภาพผลจากต้นแม่โดยตรง
เทคนิคการเลือกต้นกล้าพันธุ์
1. เป็นต้นกล้ากิ่งทาบ เพราะจะได้ต้นที่ระบบรากแข็งแรงดีกว่าต้นที่ขยายพันธุ์ด้วยการตอน
2. เป็นต้นกล้าขยายพันธุ์มาจากกิ่งกระโดง ลักษณะกิ่งหรือลำต้นสูงตรงตั้งฉากกับพื้น ช่วงระหว่างข้อหรือปล้องยาว เปลือกหนาติดแกะยาก (ไม่ล่อน) อายุกิ่งกลางอ่อนกลางแก่ สีเปลือกยังอ่อนสีเขียวสดหรือเริ่มมีลายงาเล็กน้อย อวบอ้วนสมบูรณ์ ใบล่างสุดใหญ่ หนา เขียวเข้ม เป็นมันวาวสดใส ซึ่งเมื่อนำไปปลูกแล้วโตเร็ว ทรงพุ่มสวย อายุยืน ระยะเวลาการให้ผลผลิตสั้นและคุณภาพผลผลิตตรงตามสายพันธุ์
3. ต้นกล้าพันธุ์ที่เป็นกิ่งแก่ คดงอ ข้อหรือปล้องสั้น เปลือกหนา แกะง่ายหรือล่อน เปลือกสีน้ำตาลแก่หรือเทาอมดำ แสดงว่าเป็นต้นกล้าที่ขยายพันธุ์มาจากกิ่งข้างชี้ลง เมื่อนำไปปลูกจะโตช้าแต่ให้ผลผลิตเร็วกว่ากิ่งกระโดง ทั้งๆที่เป็นขยายพันธุ์ออกมาจากต้นแม่เดียวกัน......ต้นกล้าที่ขยายพันธุ์จากกิ่งข้างเมื่อโตแล้วจะมีทรงพุ่มไม่สวยเหมือนต้นกล้าที่ขยายพันธุ์จากกิ่งกระโดง......ต้นกล้าทั้งที่ขยายพันธุ์มาจากกิ่งกระโดงและกิ่งข้างต่างให้ผลผลิตตรงตามสายพันธุ์เหมือนๆกัน
* ปลูกขนุนเพื่อบริโภคในบ้าน ถ้าขนุนสุก 1 ผล น้ำหนักทั้งผล 20 กก. (สมมุติ) จะมีเนื้อประมาณ 10 กก. (50 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักทั้งผล) เนื้อขนุนสุก 10 กก.คงไม่มีบ้านใดเพียงบ้านเดียวรับประทานได้หมด แนะนำให้ปลูกขนุนพันธุ์ ทะวายปีเดียว น้ำหนักทั้งผล 6-7กก.จะได้เนื้อประมาณ 3-4 กก.ซึ่งพอดีสำหรับรับประทานในบ้าน นอกจากนี้ขนุนทะวายปีเดียวยังมีคุณสมบัติเป็นทะวายออกดอกติดผลตลอดปี ให้ผลผลิตเมื่ออายุต้น 1-1 ปีครึ่ง ผลขนาดเล็กแต่ดก เนื้อเหลืองเข้ม หนา ซังหวาน เปลือกบาง ผลแป้วน้อย และปลูกง่ายโตเร็วอีกด้วย
* ธรรมชาติของขนุนออกดอกติดผลจากลำต้นหรือใต้ท้องกิ่งใหญ่แก่อายุหลายๆปี ดังนั้นการเลือกต้นกล้าพันธุ์ที่มีส่วนเปล้าหรือลำต้นสูงๆมาปลูก หลังจากนำลงปลูกในแปลงจริงแล้วต้องเร่งบำรุงให้เปล้าหรือลำต้นพุ่งสูงขึ้นไปอีก ทั้งนี้ให้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า เมื่อต้นโตขึ้นถึงอายุให้ผลผลิตแล้วกิ่งง่ามแรกจะต้องสูงจากพื้นระดับไม่น้อยกว่า 80-100 ซม.
* เมื่ออายุต้นใกล้ให้ผลผลิตแล้ว ให้พิจารณาตำแหน่งของกิ่งทั้งหมดว่า ในอนาคตเมื่อต้นโตเต็มที่หรือให้ผลผลิตแล้ว กิ่งไหนจะบังแสงแดดกิ่งอื่นบ้าง โดยให้ต้นมีกิ่งสำหรับออกดอกติดผลจำนวนเพียง 5-6 กิ่งต่อความสูงต้น 5 ม.เท่านั้น ช่วงที่ต้นยังไม่ให้ผลผลิตหรือใกล้ให้ผลผลิตแล้วนี้ควรเลือกตัดกิ่งที่ไม่เหมาะสมออกทิ้งไปโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นกิ่งขนาดเล็กหรือใหญ่ แม้ต้องตัดกิ่งขนาดใหญ่ทิ้งแต่เมื่อต้นมีน้ำเลี้ยงมากๆ (เพราะไม่ต้องส่งไปเลี้ยงกิ่งใหญ่แล้ว) กิ่งขนาดเล็กที่เหลือจะโตเร็วเป็นกิ่งขนาดใหญ่ขึ้นมาแทนเอง ทั้งนี้ กิ่งที่เหลือเก็บไว้ให้เป็นกิ่งสำหรับให้ออกดอกติดผลผลนั้นต้องชี้ออกรอบทิศทางทุกด้านเท่าๆกัน หรือเป็นกิ่งที่ออกจากลำต้นประธานสม่ำเสมอกัน และระหว่างกิ่งบนกับกิ่งล่างต้องไม่ซ้อนกันจนบังแสงแดดซึ่งกันและกัน
* ต้นขนุนที่ออกดอกติดผลจากใต้ท้องกิ่ง เมื่อต้นโตเต็มที่หรือให้ผลผลิต 3-5 รุ่นแล้ว ถ้ากิ่งที่เคยออกดอกติดผลนั้นทำมุมแคบกับลำต้น (ชี้เฉียงขึ้น) ให้ดัดกิ่งโดยใช้ถุงทรายหรือก้อนหินผูกกับกิ่งเพื่อค่อยๆโน้มกิ่งนั้นให้โน้มลงระนาบกับพื้น ซึ่งจะส่งผลให้การออกดอกติดผลดีขึ้น กิ่งแก่เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-5 นิ้วอาจต้องใช้เวลาดัดกิ่งด้วยการถ่วงน้ำหนักนานข้ามปี.......ส่วนต้นที่ออกดอกติดผลตามลำต้น ถ้าไม่โน้มกิ่งลงให้โน้มระนาบกับพื้นก็จะยังคงออกดอกติดผลตามลำต้นต่อไป ครั้นเมื่อได้โน้มกิ่งลงให้ระนาบกับพื้นก็จะเปลี่ยนมาเป็นออกดอกติดผลจากท้องกิ่งได้ ซึ่งเท่ากับว่าขนุนต้นนั้นออกดอกติดผลได้ทั้งที่ลำต้นและท้องกิ่ง........สายพันธุ์ที่เมื่อต้นโตขึ้นแล้วจะโน้มกิ่งลงระนาบกับพื้นเองตามธรรมชาติ คือ แม่น้อยทะวาย ซึ่งมีนิสัยออกดอกติดผลที่ท้องกิ่งแล้วน้ำหนักผลเป็นตัวถ่วงให้กิ่งโน้มลงระนาบกับพื้นเอง
* ขนุนอายุต้น 2 ปียังไม่ให้ผลผลิต ให้ใช้เชือกผูกกิ่งแล้วค่อยๆโน้มลงทุก 3-4 เดือน เมื่อขนุนต้นนั้นโตขึ้นจะมีกิ่งโน้มลงระนาบกับพื้นเอง
ลักษณะผลแก่จัด
1. หนามห่าง ปลายทู่ ร่องระหว่างหนามห่าง
2. ผลที่เปลือกเขียวหรือเขียวอมเหลือง สีเปลือกจะเปลี่ยนเป็นเหลืองเข้ม
3. ใบเลี้ยงที่ติดอยู่กับขั้วผลซีดเหลือง
4. น้ำยางจากขั้วผลจางใส
5. เคาะผลฟังเสียงหลวม
* อายุต้นเริ่มให้ผลผลิตได้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ กล่าวคือ บางสายพันธุ์เริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุต้นเพียง 1 ปีหลังปลูก ในขณะที่บางสายพันธุ์เริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุต้น 3-5 ปีหลังปลูก
อายุต้นขนุนกับการไว้จำนวนผล
- อายุต้น 3-5 ปี ไว้ผล 5-7 ผล/ต้น/ปี หรือ/รุ่น
- อายุต้น 5-10 ปี ไว้ผล 20-25 ผล/ต้น/ปี หรือ/รุ่น
- อายุต้น 15-20 ปี ไว้ผล 30-40 ผล/ต้น/ปี หรือ/รุ่น
- อายุต้น 20 ปีขึ้นไปไว้ผล 40-50 ผล/ต้น/ปี หรือ/รุ่น
* ขนุนออกดอกช่วงเดือน ก.ย.-พ.ย.พร้อมกันแล้วแก่เก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือน เม.ย.เป็นขนุนพันธุ์เบา คุณภาพดีและขายได้ราคาดี ส่วนที่แก่เก็บเกี่ยวได้ในเดือน มิ.ย.เป็นขนุนพันธุ์หนัก ขนุนชุดนี้เป็นขนุนปีหรือขนุนในฤดูมักมีปริมาณออกสู่ตลาดมาก กอร์ปกับออกตรงกับช่วงหน้าฝนด้วยคุณภาพมักไม่ดีจึงจำหน่ายไม่ได้ราคา
* ขนุนออกออกดอกช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. แล้วแก่เก็บเกี่ยวได้ช่วงเดือน พ.ย. เป็นขนุนพันธุ์เบา ส่วนที่แก่เก็บเกี่ยวได้ในเดือน ธ.ค.เป็นขนุนพันธุ์หนัก ขนุนชุดนี้เป็นขนุนนอกฤดู มีปริมาณออกสู่ตลาดน้อย ผลแก่จัดตรงกับช่วงฝนแล้ง คุณภาพจึงดี ส่งผลให้ได้ราคาดีไปด้วย
* ขนุนทะวาย คือ ขนุนที่ออกดอกติดผลปีละ 2 รุ่น หรือทยอยออกจนไม่เป็นรุ่นขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้น ส่วนขนุนปีเป็นขนุนที่ออกดอกติดผลเพียงปีละ 1 รุ่นแม้จะได้บำรุงอย่างดีแล้วก็ตาม
หมายเหตุ :
ผู้บริโภคมักไม่สนใจว่าเป็นขนุนสายพันธุ์ใด ถ้าเห็นว่าคุณภาพดีตามต้องการก็จะซื้อทันที นั่นคือ ผู้ปลูกจะต้องรู้ถึงวิธีการปฏิบัติบำรุงอย่างถูกต้อง เพราะขนุนทุกสายพันธุ์ตอบสนองดีมากต่อปุ๋ยและฮอร์โมนซึ่งจะส่งผลให้ได้คุณภาพดีเอง
* ขนุนละมุดเป็นขนุนอีกสายพันธุ์หนึ่ง แต่ชาวสวนไม่นิยมปลูกเพราะเมื่อสุกจัด เนื้อเละเปียกแฉะ ไม่น่ารับประทาน แม้ว่าจะมีกลิ่นหอมรสหวานจัดก็ตาม..........ขนุนละมุดต้องรับประทานช่วงที่ผลเริ่มสุก (ห่าม) ซึ่งนอกจากเนื้อไม่เละเปียกแฉะแล้วยังหวานมันและกรอบดีอีกด้วย
* ขนุนใบแฉกเมื่อโตแล้วจะไม่ออกดอกติดผล
การขยายพันธุ์
ตอน. ทาบกิ่ง . เสียบยอด. เพาะเมล็ด (กลายพันธุ์). เพาะเมล็ดเสริมรากเสียบยอด (ดีที่สุด).
ระยะปลูก
- ระยะปกติ 8 X 8 ม. หรือ 8 X 10 ม.
- ระยะชิด 4 X 4 ม. หรือ 6 X 6 ม.
เตรียมดินและอินทรีย์วัตถุ
- ใส่ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม + มูลไก่ไข่/เนื้อ/นกกระทา (แห้งเก่าข้ามปี) ปีละ 2 ครั้ง
- ให้ยิบซั่มธรรมชาติ ปีละ 2 ครั้ง
- ให้กระดูกป่น ปีละ 1 ครั้ง
- คลุมโคนต้นด้วยเศษพืชแห้งหนาๆเต็มพื้นที่บริเวณทรงพุ่ม ล้ำออกไปถึงนอกเขตทรงพุ่ม
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิงหรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง
หมายเหตุ :
- การฝังซากสัตว์ เช่น หอยเชอรี่ ปลาสด เป็นชิ้นเท่าลูกมะนาวหรือบดละเอียด ที่ชายเขตทรงพุ่ม 4-5 หลุม/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม. ฝังปีเว้นปี เพื่อให้ต้นมีสารอาหารกินตลอด 24 ชม. ต่อเนื่องหลายๆปีจะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์สูงพร้อมต่อการบำรุงทุกขั้นตอน
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ (ทางใบ-ทางราก) บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต ไม่แตกใบอ่อน ผลหยุดขยายขนาดแล้วกลายเป็นผลแก่ การให้ทางใบอาจเป็นแหล่งอาศัยและแพร่ระบาดของเชื้อราได้
- ฮอร์โมนธรรมชาติและฮอร์โมนวิทยาศาสตร์จะให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยก็ต่อเมื่อ ต้นมีสภาพความสมบูรณ์สูง
เตรียมต้น
ตัดแต่งกิ่ง :
ขนุนออกดอกติดผลที่ลำต้นและใต้ท้องกิ่งขนาดใหญ่ บางสายพันธุ์ออกติดผลตามลำต้นส่วนที่อยู่สูงจากพื้นมากๆ บางสายพันธุ์ออกดอกติดผลตามลำต้นสูงจากพื้นไม่มากหรือกองดินเลยก็มี บางสายพันธุ์ออกดอกติดผลเฉพาะตามท้องกิ่งโดยไม่ออกตามลำต้น แต่บางสายพันธุ์ออกดอกติดผลได้ทั้งที่ลำต้นและท้องกิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใด หรือออกดอกติดผลที่ส่วนใดของต้นก็ตาม ไม่ควรมีกิ่งขนาดเล็กภายในทรงพุ่ม การตัดแต่งกิ่งให้ตัดแล้วเรียกใบชุดใหม่เฉพาะปลายกิ่งเท่านั้น ช่วงตัดแต่งกิ่งควรตัดให้เหลือใบประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์และเมื่อใบอ่อนชุดใหม่ออกมาแล้วให้มีใบประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์จะช่วยให้การออกดอกติดผลดี
ตัดกิ่งบังแสงแดดต่อกิ่งอื่นออก ทำให้ทรงพุ่มโปร่งจนแสงแดดสามารถส่องได้ถึงทุกกิ่งทั่วทรงพุ่ม กิ่งได้รับแสงแดดจะสมบูรณ์ดีกว่ากิ่งไม่ได้รับแสงแดดหรือได้รับแสงแดดน้อย
ตัดกิ่งกระโดง กิ่งในทรงพุ่ม กิ่งคดงอ กิ่งชี้ลง กิ่งไขว้ กิ่งหางหนู กิ่งเป็นโรค ภายในทรงพุ่มควรให้โปร่งจนแสงส่องผ่านลงไปถึงโคนต้นได้
- ตัดยอดกิ่งประธาน (ผ่ากบาล) ณ ความสูงต้นตามต้องการ นอกจากช่วยทำให้แสงแดดผ่านจากยอดเข้าสู่ภายในทรงพุ่มได้อย่างทั่วถึงแล้วแสงแดดที่ร้อนยังช่วยกำจัดเชื้อราได้เป็นอย่างดี และเพื่อควบคุมขนาดความสูงทรงพุ่มอีกด้วย
- นิสัยการออกดอกของขนุนไม่จำเป็นต้องกระทบหนาว แต่ถ้าตัดแต่งกิ่ง-เรียกใบอ่อนช่วงต้นหน้าฝนแล้วเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงต่อไปตามลำดับอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ จะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์เต็มที่ดีกว่าการตัดแต่งกิ่งในช่วงอื่น
ตัดแต่งราก :
- ต้นที่อายุยังน้อยไม่ควรตัดแต่งรากแต่ถ้าต้องการสร้างรากใหม่มีประสิทธิภาพในการหาอาหารดียิ่งขึ้นให้ใช้วิธีล่อรากด้วยการพูนโคนต้นด้วยดิน 3 ส่วนกับอินทรีย์วัตถุ 1 ส่วน
- ต้นอายุหลายปี ระบบรากเก่าและแก่มาก ให้พิจารณาตัดแต่งรากส่วนปลายออก 1 ใน 4 ด้วยการพรวนดินรอบทรงพุ่มลึก 10-15 ซม. หลังจากให้ฮอร์โมนบำรุงรากไปแล้วต้นจะแตกรากใหม่จำนวนมากขึ้นและมีประสิทธิภาพในการดูดซับสารอาหารได้ดีกว่าเดิม
1. เรียกใบอ่อน
ทางใบ :
ให้น้ำ 100 ล. + 46-0-0 (200 กรัม) หรือ 25-5-5 (200 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + จิ๊บเบอเรลลิน 10 ซีซี.+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 5-7 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (½-1) กก./ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้ น้ำเปล่า ทุก 3-5 วัน
หมายเหตุ :
- การบำรุงต่อขนุนปี (ออกดอกติดผลปีละ 1 รุ่น) ควรเรียกใบอ่อน 2 ชุด
- ใบอ่อนเมื่อออกมาแล้วควรเร่งให้เป็นใบแก่เร็วๆ และต้องระวังโรคและแมลงศัตรูเข้าทำลายใบให้ดี เพราะหากใบอ่อนชุดใดชุดหนึ่งถูกลายเสียหายก็ต้องเริ่มเรียกชุดที่ 1 ใหม่ ซึ่งจะทำให้เสียเวลาและกำหนดระยะการออกดอกติดผลต้องเลื่อนออกไปอีกด้วย
- เรียกใบอ่อนโดยการใส่ปุ๋ยทางรากสูตร 25-7-7 จะช่วยให้ได้ใบขนาดใหญ่หนา มีพื้นที่หน้าใบสังเคราะห์อาหารมาก และคุณภาพดีกว่าใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ
- หลังจากให้ทางใบไปแล้ว 5-7 วันถ้าต้นใดแตกใบอ่อนน้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ให้ฉีดพ่นซ้ำรอบสองด้วยอัตราและวิธีการเดิม เพราะถ้าต้นแตกใบอ่อนไม่พร้อมกันทั่วทั้งต้นจะส่งผลเสียหลายอย่างตั้งแต่การเร่งใบอ่อนเป็นใบแก่ การสะสมอาหารเพื่อการออก การปรับ ซี/เอ็น เรโช. การเปิดตาดอก ซึ่งจะออกดอกไม่พร้อมกันทั่วทั้งต้น และเมื่อดอกออกไม่พร้อมกันก็กลายเป็นผลไม่พร้อมกันทำให้ยุ่งยากต่อการปฏิบัติบำรุงตามขั้นตอนอย่างมาก....แนวทางแก้ไข คือ ต้องบำรุงเรียกใบอ่อนให้ออกมาเป็นชุดเดียวพร้อมกันทั้งต้นให้ได้
- ขนุนต้องการใบอ่อน 2 ชุด ถ้าต้นสมบูรณ์ดี มีการเตรียมดินและปรับปรุงบำรุงดินสม่ำเสมอต่อเนื่องมาหลายๆปีแล้ว หลังจากใบอ่อนชุดแรกเริ่มๆเพสลาดแล้วให้เรียกใบอ่อนชุดที่ 2 ต่อได้เลย ใบชุดที่ 2 นี้อาจจะออกไม่พร้อมกันทั้งต้นเหมือนชุดแรกแต่ก็ไม่ควรออกห่างกันไม่เกิน 7-10 วัน และหลังจากใบอ่อนชุดที่ 2 เริ่มเพสลาดก็ให้เข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงต่อไปตามปกติ
2. เร่งใบอ่อนเป็นใบแก่
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 0-21-74 (200 กรัม) หรือ 0-39-39 (200 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 3-5 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ 8-24-24 (1/2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- ลงมือบำรุงเมื่อใบอ่อนชุดแรกอกมาเริ่มแผ่กาง
- วัตถุประสงค์เพื่อเร่งใบชุดใหม่ให้สามารถสังเคราะห์อาหารได้ และเร่งระยะเวลาเรียกใบอ่อนชุดต่อไปได้เร็วขึ้น กับทั้งเพื่อให้ใบอ่อนรอดพ้นจากทำลายของแมลงปากกัดปากดูด
- สารอาหารในกลุ่มเร่งใบอ่อนเป็นใบแก่มีฟอสฟอรัส.และโปแตสเซียม.) นอกจากช่วยเร่งใบอ่อนเป็นใบแก่ได้แล้วยังช่วยเสริมประสิทธิภาพขั้นตอนสะสมอาหารเพื่อการออกดอกได้อีกด้วย
3. สะสมอาหารเพื่อการออกดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 0-42-56 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 5-7 วัน ติดต่อกัน 2-3 รอบแล้วให้น้ำ 100 ล. + ฮอร์โมนไข่ 25 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. สลับ 1 รอบ ฉีดพ่นพอเปียกใบ ติดต่อกัน 1-2 เดือน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 (½-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติทุก 3-5 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มลงมือบำรุงเมื่อใบอ่อนชุด 2 เพสลาด
- แนวทางบำรุงให้ต้นได้สะสมอาหารเพื่อการออกดอกไว้มากที่สุดควรเตรียมแผนใช้เวลาบำรุง 2-2 เดือนครึ่ง ในห้วงนี้ให้กลูโคสหรือนมสัตว์สด 2 รอบ โดยรอบแรกให้เมื่อเริ่มลงมือบำรุงและให้รอบ 2ห่างจากรอบแรก 20-30 วัน
- ขั้นตอนนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการออกดอก ควรเน้นสารอาหารทั้งกลุ่มสร้างดอกบำรุงผล หรือ ซี.(คาร์บอน-คาร์โบไฮเดรท) และสารอาหารกลุ่มสร้างใบบำรุงต้น หรือ เอ็น. (ไนโตรเจน) ให้มากที่สุดทั้ง 2 อย่างเท่าที่จะมากได้
- ถ้าสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยให้งดน้ำหรือปรับ ซี/เอ็น เรโช. เช่น ฝนตกชุกหรือยังไม่ถึงกำหนดทำให้ออกดอกแล้วเป็นผลรุ่นใหญ่ทั้งต้นที่เก็บเกี่ยวได้ตรงกับช่วงที่ตลาดต้องการก็ให้บำรุงต้นด้วยสูตร “กดใบอ่อน-สะสมอาหาร” ต่อไปอีก
- ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงขั้นต่อไป คือ ปรับ ซี/เอ็น เรโช. ให้ทบทวนความทรงจำเมื่อครั้งเรียกใบอ่อนแล้วใบอ่อนออกมาพร้อมกันเป็นชุดเดียวทั่วทั้งต้นหรือไม่ ถ้าใบอ่อนออกมาพร้อมกันดีทั่วทั้งต้นให้ปรับ ซี/เอ็น เรโช.ต่อไปได้เลย แต่ถ้าใบอ่อนออกมาไม่พร้อมกันเป็นชุดเดียวทั่วทั้งต้นและค่อนข้างต่างรุ่นกันมากก็ให้บำรุงสะสมอาหารเพื่อการออกดอกต่อไปอีก 2-3 รอบ เพื่อรอให้ใบอ่อนชุดหลังสะสมอาหารจนอั้นตาดอกดีเท่ากับใบอ่อนชุดแรกจากนั้นจึงลงมือปรับ ซี/เอ็น เรโช. ทั้งนี้ วัตถุประสงค์เพื่อทำให้มีดอกออกมาพร้อมกันเป็นชุดเดียวกันทั่วทั้งต้นนั่นเอง
4. ปรับ ซี/เอ็น เรโช
ทางใบ :
- ในรอบ 7-10 วันให้น้ำ 100 ล. + 0-42-56 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1 รอบกับให้น้ำ 100 ล.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. อีก 1 รอบ ฉีดพ่นพอเปียกใบ
ทางราก :
- เปิดหน้าดินโคนต้น
- งดน้ำเด็ดขาด
หมายเหตุ :
- วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณ ซี. (อาหารกลุ่มสร้างดอก-บำรุงผล) และลดปริมาณ เอ็น. (อาหารกลุ่มสร้างใบ-บำรุงต้น) ซึ่งจะส่งผลให้ต้นเกิดอาการอั้นตาดอกดี
- ก่อนลงมือปรับ ซี/เอ็น เรโช จะต้องติดตามข่าวพยากรณ์อากาศให้มั่นใจว่าระหว่างปรับ ซี/เอ็น เรโช นั้นจะต้องไม่มีฝนตก เพราะถ้ามีฝนตกลงมามาตรการงดน้ำก็ต้องล้มเหลว
- ขั้นตอนการปรับอัตราส่วน ซี/เอ็น เรโช. จะได้ผลสมบูรณ์ดีหรือไม่ให้สังเกตจากต้น ถ้าต้นเกิดอาการใบสลดแสดงว่าในต้นมีปริมาณ ซี.มากขึ้นส่วนปริมาณ เอ็น.เริ่มลดลง และความพร้อมของต้นก่อนเปิดตาดอกสังเกตได้จากลักษณะใบใหญ่หนาเขียวเข้ม ใบคู่สุดท้ายปลายกิ่งแก่จัด กิ่งช่วงปลายและใบกรอบเปราะ ข้อใบสั้น หูใบอวบอ้วน ตาดอกโชว์เห็นชัด
- การให้สารอาหารทางใบซึ่งมีน้ำเป็นส่วนผสมนั้นอย่าให้โชกจนลงถึงพื้นเพราะจะกลายเป็นการให้น้ำทางราก แนวทางปฏิบัติ คือ ให้บางๆเพียงเปียกใบเท่านั้น
- เมื่องดน้ำ (ไม่รดน้ำ) แล้วต้องควบคุมปริมาณน้ำใต้ดินโคนต้นไม่ให้มากเกินไปโดยการทำร่องระบายน้ำใต้ดินหรือร่องสะเด็ดน้ำด้วย
- กรณีสวนยกร่องน้ำหล่อต้องใช้ระยะเวลาในการงดน้ำนานมากกว่าสวนพื้นราบยกร่องแห้งจึงจะทำให้ใบสลดได้ซึ่งอาจจะส่งผลให้แผนการผลิตที่กำหนดไว้คลาดเคลื่อน ดังนี้จึงจำเป็นต้องสูบน้ำออกตั้งแต่ก่อนปรับ ซี/เอ็น เรโช. โดยกะระยะเวลาให้หน้าดินโคนต้นแห้งถึงขนาดแตกระแหงและมีความชื้นไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ตรงกับช่วงปรับ ซี/เอ็น เรโช พอดี
6. เปิดตาดอก
ทางใบ :
สูตร 1......ให้น้ำ 100 ล. + สาหร่ายทะเล 50 กรัม + ฮอร์โมนไข่ 100 ซีซี. + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.
สูตร 2..... ให้น้ำ 100 ล. +13-0-46 (500 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.
เลือกใช้สูตรใดสูตรหนึ่งหรือทั้งสองสูตรแบบสลับครั้งกัน ห่างกันครั้งละ 5-7 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
ทางราก :
- ให้ 8-24-24 (½ กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำปกติทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เลือกใช้ให้ทางใบด้วยสูตรใดสูตรหนึ่งหรือใช้ทั้งสองสูตรแบบสลับครั้งกันก็ได้
- ให้ 8-24-24 โดยละลายน้ำราดโคนต้นจะได้เร็วกว่าการหว่านแล้วตามด้วย
- หลังจากเปิดตาดอกแล้ว ถ้าดอกออกมาไม่มากพอ ระหว่างที่ดอกชุดแรกยังเป็นดอกตูมอยู่นั้น ให้เปิดตาดอกซ้ำอีก 1-2 รอบด้วยสูตรเดิม หรือจนกระทั่งดอกชุดแรกบานแล้วจึงยุติการเปิดตาดอกซ้ำ
6. บำรุงดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 15-45-15 (200 กรัม) + แคลเซียม โบรอน. 100 ซีซี. + เอ็นเอเอ. 100 ซีซี. + ฮอร์โมนไข่ 25 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 5-7 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 3 วัน
ทางราก :
- ยังคงเปิดหน้าดินโคนต้นเช่นเดิม
- ให้ 8-24-24 (½-1 กก)./ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำพอหน้าดินชื้น
หมายเหตุ :
- ดอกตัวผู้กับดอกตัวเมียอยู่ในต้นเดียวกันแต่คนละดอก บางสายพันธุ์ผสมกันเองแล้วติดเป็นผลดีแต่บางสายพันธุ์ผสมกันเองแล้วติดผลไม่ดีนัก ก็ให้ช่วยผสมเกสรด้วยมือมือโดยนำช่อดอกตัวผู้พร้อมผสมสายพันธุ์เดียวกันหรือต่างสายพันธุ์จากต่างต้นมาเคาะเบาๆ ใส่ช่อดอกตัวเมียพร้อมรับผสมของต้นที่ต้องการให้ติดผล ช่วงเช้า (08.30-12.00 น.) จะช่วยให้การติดเป็นผลดีขึ้น
- ช่วงดอกตั้งแต่เริ่มแทงออกมาให้เห็นหรือระยะดอกตูม บำรุงด้วยฮอร์โมน เอ็นเอเอ. 1-2 รอบ จะช่วยบำรุงเกสรทั้งตัวผู้และตัวเมียให้สมบูรณ์พร้อมรับผสม แต่ต้องใช้ด้วยระมัดระวังเพราะถ้าให้เข้มข้นเกินไปจะเกิดความเสียหายต่อดอกและถ้าให้อ่อนเกินไปก็จะไม่ได้ผล
- ช่วงดอกเริ่มแทงออกมาใหม่ๆให้แคลเซียม โบรอน. 1 รอบ จะช่วยให้ดอกสมบูรณ์ผสมติดดี
- ช่วงดอกตูมควรฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรให้บ่อยขึ้น เพื่อป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชจนถึงช่วงดอกบาน
- ช่วงดอกบานควรงดการฉีดพ่นทางใบโดยเฉาะช่วงกลางวัน (08.00-12.00 น.) เพราะอาจทำให้เกสรเปียกจนผสมไม่ติดได้ หากจำเป็นต้องฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรให้ฉีดพ่นช่วงหลังค่ำ
- ระยะดอกบานถ้าตรงกับช่วงฝนชุกเกสรจะเปียกชื้นทำให้ผสมไม่ติด แก้ไขโดยกะระยะเวลาให้ดอกออกมาแล้วไม่ตรงกับช่วงฝนชุกเท่านั้น แต่ถ้าดอกออกมาตรงกับช่วงแล้งอากาศร้อนมากเกสรจะฝ่อทำให้ผสมไม่ติดได้เช่นกัน แก้ไขโดยสร้างความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศและที่พื้นดินในทั้งในแปลงปลูกและรอบๆแปลงปลูก..........มาตรการบำรุงต้นและดอกให้สมบูรณ์อย่างแท้จริงอยู่เสมอจะช่วยลดความสูญเสียได้เป็นอย่างมาก
- เพื่อความมั่นใจในเปอร์เซ็นต์หรือประสิทธิภาพของฮอร์โมน เอ็นเอเอ. แนะนำให้ใช้ฮอร์โมนเอ็นเอเอ.วิทยาศาสตร์แทนฮอร์โมน เอ็นเอเอ.ทำเองจะได้ผลกว่า
- ฉีดพ่นสารอาหารเพื่อบำรุงดอกด้วยเครื่องมือฉีดพ่นที่มีแรงลมพ่นเบาที่สุดตามความเหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อส่วนต่างๆของดอก ฉีดพ่นที่ช่อดอกโดยตรงพอเปียกหรือฉีดพ่นให้ทั่งทรงพุ่มพอเปียกใบก็ได้
- บำรุงดอกช่วงฝนชุกให้เน้น “สังกะสี และ แคลเซียม โบรอน” โดยให้เมื่อดอกออกมาแล้วหรือให้แบบสะสมล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงเปิดตาดอก ด้วยวิธีให้เดี่ยวๆหรือผสมรวมไปกับธาตุอาหารอื่นๆก็ได้
- การไม่ใช้สารเคมีเลยติดต่อกันเป็นเวลานานๆจะมีผึ้งหรือมีแมลงธรรมชาติอื่นๆจำนวนมากเข้ามาช่วยผสมเกสรส่งผลให้ติดผลดกขึ้น
7. บำรุงผลเล็ก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 21-7-14 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + เอ็นเอเอ. 25 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 5-7 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ยิบซั่มธรรมชาติ 10 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการให้เมื่อช่วงเตรียมดิน
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (½-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติ ทุก 3-5 วัน
- คลุมโคนต้นหนาๆด้วยเศษพืชแห้ง
หมายเหตุ :
- การให้น้ำต้องค่อยๆเพิ่มปริมาณเพื่อให้ต้นปรับตัวทันจนกระทั่งถึงอัตราปกติ
- ระยะผลเล็ก ถ้าถูกแมลงปากกัด/ปากดูด (เพลี้ย ไร) เข้าทำลายจะทำให้รูปทรงผลและคุณภาพภายในผลเสียไปจนกระทั่งเป็นผลใหญ่
- พิจารณาตำแหน่งติดผลแล้วตัดแต่งช่อผลโดยเลือกผลตัดทิ้งหรือคงไว้
8. บำรุงผลกลาง
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 21-7-14 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 กรัม + ไคโตซาน 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 7-10 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 21-7-14 (1/2 กก)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติเมื่อเมล็ดเริ่มเข้าไคล การที่จะรู้ว่าผลเริ่มเข้าไคลแล้วต้องใช้วิธีสุ่มเก็บผลมาผ่าดูเมล็ดภายใน
- การบำรุงระยะผลขนาดกลางต้องให้น้ำมากสม่ำเสมอแต่ต้องไม่ขังค้าง ถ้าได้รับน้ำน้อยผลจะแคระแกร็น หากมีฝนตกหนักลงมากระทันหันอาจจะทำให้ผลแตกผลร่วงได้
- ให้ฮอร์โมน เอ็นเอเอ. ฮอร์โมนไข่ 1-2 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดช่วงผลกลางจะช่วยให้ต้นเขียวสดอยู่เสมอ
- ถ้าต้นติดผลดกมากควรให้ฮอร์โมนน้ำดำ กับ แคลเซียม โบรอน. 1-2 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดระยะผลกลางจะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากรับภาระเลี้ยงผลมาก
9. บำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 0-21-74 (200 กรัม) หรือ 0-0-50 (200 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. หรือน้ำ 100 ล. + มูลค้างคาวสกัด 100 ซีซี. + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วันก่อนเก็บเกี่ยว ฉีดพ่นพอเปียกใบ
ทางราก :
- เปิดหน้าดินโคนต้น
- ให้ 13-13-21 หรือ 8-24-24 สูตรใดสูตรหนึ่ง (1/2-1 กก.)/ต้น
- ให้น้ำเพื่อละลายปุ๋ยแล้วงดน้ำจนเก็บเกี่ยว
หมายเหตุ :
- การให้ปุ๋ยเร่งหวาน (0-21-74 หรือ 0-0-50) ทางใบช่วงฝนแล้งจะทำให้มีรสหวานจัดขึ้นไปอีก จนเรียกได้ว่า “หวานทะลุองศาบริกซ์”
- การให้ “มูลค้างคาวสกัด” ในอัตราเข้มข้นเกินไปอาจทำให้ผลแตกได้ ดังนั้น ช่วงบำรุงผลขนาดกลางจะต้องสร้างเปลือกให้หนาไว้ก่อนด้วยปุ๋ยทางรากสูตร 21-7-14 ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาปุ๋ยแรงจนผลแตกได้
- หากต้องการให้รสหวานพอดีๆ หรือแน่ใจว่าบำรุงเร่งหวานทางรากดีแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเร่งหวานด้วยปุ๋ยทางใบอีกก็ได้ ทั้งนี้ให้พิจารณาตามความเหมาะสม
- ขนุนที่ให้ผลผลิตเป็นรุ่นเดียวทั้งต้น (อายุผลเท่ากันทุกผล) ถ้าให้ 13-13-21 ต้นจะโทรมจนเห็นได้ชัดเจน หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วต้องเร่งบำรุงฟื้นฟูสภาพต้นเรียกความสมบูรณ์กลับคืนมาทันที เพื่อเตรียมการบำรุงสร้างผลผลิตรุ่นต่อไป แต่ถ้าให้ทางรากด้วย 8-24-24 คู่กับให้ทางใบด้วย 0-21-74 ต้นจะไม่โทรม
- ในต้นที่มีผลหลายรุ่น (ผลไหนแก่ก่อนเก็บก่อน-ผลไหนแก่ทีหลังเก็บทีหลัง) แนะนำให้ทางรากด้วย 8-24-24 คู่กับทางใบ 0-21-74 ระหว่างนี้ผลแก่จะหวาน ในขณะที่ผลรองลงมาจะชะงักการเจริญเติบโตแต่ไม่มีปัญหาเพราะหลังจากเก็บเกี่ยวผลแก่ไปแล้วให้กลับมาบำรุงผลที่เหลือต่อไปตามปกติ
ช่วงหน้าฝน :
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + มูลค้างคาวสกัด 100 ซีซี. หรือ 0-21-74 (200 กรัม)หรือ 0-0-50 (200 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ ระวังอย่าให้โชกลงถึงพื้นเพราะกระทบกระเทือนต่อการงดน้ำ
- ให้สารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- เปิดหน้าดินโคนต้น
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 (½-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- งดการให้น้ำเด็ดขาดพร้อมกับควบคุมปริมาณน้ำใต้ดินโคนต้นโดยทำช่องทางระบายน้ำฝนที่ตกลงมาให้ได้
หมายเหตุ :
- ในน้ำฝนและน้ำที่รดมีไนโตรเจน ส่งผลกระทบต่อผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวอย่างมาก กล่าวคือ ทำให้แก่ช้าหรืออายุเก็บเกี่ยวต้องยืดออกไป. รสชาติไม่หวานหรืออมเปรี้ยว. กลิ่นเนื้อในยวงเหม็น. เมล็ดงอก. ผลแตก. ผลร่วง. เปลือกหนา. ซังเหนียว. เนื้อเหนียวและเสี้ยนมาก.
- การปรับปรุงคุณภาพผลช่วงแก่จัดใกล้เก็บเกี่ยวแล้วตรงกับช่วงที่มีฝนชุกเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ดังนั้นทุกครั้งก่อนเปิดตาดอกจะต้องคำนวณวันที่ผลแก่เก็บเกี่ยวได้ไม่ควรให้ตรงกับช่วงฝนชุก และเตรียมมาตรการควบคุมปริมาณน้ำใต้ดินโคนต้นให้ดีก่อนเสมอ
- การเลือกสายพันธุ์ที่ไม่มีผลกระทบในเรื่องของคุณภาพผลเมื่อผลแก่จัดใกล้เก็บเกี่ยวแล้วมีฝนชุก เช่น ทองสุดใจ. เหรียญทอง. หรือเลือกปลูกขนุนสายพันธุ์ทะวายแล้วควบคุมการปฏิบัติบำรุงให้ผลแก่ไม่ตรงกับช่วงฝนชุก ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด
- หลังจากหมดฝนแน่นอนแล้วให้บำรุงด้วยสูตร “บำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว” แบบเดิมต่อไปอย่างน้อย 15-20 วัน จากนั้นตรวจสอบด้วยการสุ่มเก็บมาผ่าดูภายในซึ่งก็จะรู้ว่าสมควรเก็บเกี่ยวได้แล้วหรือยัง
วิธีทำขนุนนอกฤดู :
- ราคาดีในช่วงเดือน ธ.ค.- ม.ค. เนื่องจากมีผลไม้ยอดนิยมออกสู่ตลาดน้อย
- ขนุนเป็นไม้ผลที่ไม่ตอบสนองต่อสารพาโคลบิวทาโซลหรือสารบังคับใดๆให้ออกนอกฤดูทั้งสิ้น นอกจากไม่ตอบสนองแล้วยังเป็นอันตรายต่อต้นจนถึงตายได้อีกด้วย ดังนั้นการทำขนุนให้ออกนอกฤดูกาลจึงต้องทำจากขนุนสายพันธุ์ทะวายเท่านั้น แม้แต่ขนุนทะวายสายพันธุ์เดียวกันแต่เป็นคนละต้น ยังมีนิสัยออกดอกติดผลไม่พร้อมกันหรือไม่เหมือนกันอีกด้วย แต่นิสัยที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือออกดอกปีละ 2 รุ่นหรือมากกว่าเสมอ ดังนั้น เมื่อจะทำขนุนให้ออกนอกฤดูก็ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับนิสัยการออกดอกของขนุนต้นที่ปลูกให้ละเอียดลึกซึ้งถึงขนาดรู้ว่าต้นไหนออกดอกเดือนไหนของปีบ้าง ซึ่งอาจต้องมีการจดบันทึกไว้เพื่อป้องกันความผิดพลาดเรื่องการกะเก็งระยะเวลา และเมื่อรู้แน่แล้วว่าดอกแต่ละชุดซึ่งเป็นดอกนอกฤดูจะออกเมื่อใดก็ให้เริ่มบำรุงตามขั้นตอนดังนี้
- ขนุนสายพันธุ์ทะวายต้นนั้นมีนิสัยออกดอกปีละ 2 รุ่น โดยรุ่นใดรุ่นหนึ่งตรงกับขนุนปีแล้วอีกรุ่นหนึ่งจะไม่ตรงกับขนุนปี ดอกรุ่นที่ออกมาตรงกับขนุนปีให้เด็ดทิ้งทั้งหมด จากนั้นให้เริ่มลงมือบำรุงตามขั้นตอนตั้งแต่เรียกใบอ่อน
– สะสมอาหารเพื่อการออกดอก
- ปรับ ซี/เอ็น เรโช.
- เปิดตาดอก ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือนจึงจะมีดอกออกมาให้เห็น ทั้งนี้ขนุนสายพันธุ์ทะวายมักออกดอกติดผลง่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกับยิ่งถ้าได้รับการบำรุงแบบให้มีสารอาหารกินตลอด 24 ชม.ต่อเนื่องติดต่อกันมานานนับหลายปีด้วยแล้วจะออกดอกติดผลได้ไม่ยากนัก
เมื่อปรับช่วงการออกดอกในขนุนทะวายครั้งแรกสำเร็จจะส่งผลไปถึงการออกดอกติดผลของรุ่นที่ 2 ด้วย นั่นคือ ขนุนต้นนั้นจะออดอกในช่วงระยะเวลาที่ปรับไว้แล้วตลอดไปตราบเท่าที่ต้นยังสมบูรณ์
บำรุงขนุนออกดอกไม่เป็นรุ่นหรือมีผลหลายรุ่นในต้นเดียวกัน
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ ฮอร์โมนไข่ 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี. + เอ็นเอเอ.25 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 7-10 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 สลับกับ 21-7-14(½-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำสม่ำเสมอ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- ขนุนที่มีผลหลายรุ่นในต้นเดียวกันนั้นค่อนข้างยุ่งยากต่อการบำรุง แนวทางแก้ไขอย่างหนึ่ง คือ เก็บผลไว้ 2 รุ่นกับดอก 1 รุ่น ส่วนผลที่โตระหว่างรุ่นแรกกับรุ่น 2 ให้เก็บจำหน่ายเป็นขนุนอ่อนหรือจัดรุ่นโดยเด็ดดอกทิ้งตั้งแต่เริ่มแทงออกมาให้เห็นก็ได้
- ให้ฮอร์โมนเอ็นเอเอ. ฮอร์โมนไข่. 1-2 รอบ/2-3 เดือน
- ถ้าต้นติดผลดกมากควรให้ฮอร์โมนน้ำดำ กับ แคลเซียม โบรอน.1-2 รอบ/ 3-4 เดือน จะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากรับภาระเลี้ยงผลมาก
วิธีเก็บเกี่ยวขนุน:
1. ตรวจอายุผล ลักษณะผล และสุ่มเก็บลงมาผ่าผลตรวจภายในก็จะรู้ว่าผลชุดนั้นสมควรเก็บเกี่ยวได้แล้วหรือยัง
2. ตัดผลลงมาจากต้นแล้ววางผลเอียงลงบนพื้นให้น้ำยางในผลไหลออกมาตามขั้วจนหมด จากนั้นจึงนำไปบ่มตามปกติ ระหว่างการบ่มถ้าต้องการเร่งให้ผลสุกเร็วขึ้นให้ใช้ไม้ปลายแหลม ขนาดเล็ก 1 ใน 4 ของขั้วผล แทงเข้าไปในขั้วผลจนสุดขั้วและลึกถึงแกนในพอประมาณ แล้วนำไปบ่มตามปกติ การใช้ไม้แทงขั้วผลแบบนี้แม้ขนุนผลนั้นแก่ไม่จัดจริงก็สุกได้เหมือนกันแต่รสชาติอาจไม่เต็มร้อยเท่าผลแก่จัด
3. ตัดผลลงมาจากต้นแล้ววางผลเอียงไล่ยางออกจากผลจนหมด ตัดขั้วทางขวางแล้วใช้ฮอร์โมน อีเทฟอน ชนิดเดียวกันกับที่ใช้เร่งให้ทุเรียนสุก (ผลแก่ไม่จัดก็สุก) หรือใช้เร่งสับปะรดเพื่อให้เนื้อฉ่ำ (แต่เปรี้ยว) ทาบนขั้วที่รอยตัด จากนั้นนำไปบ่มตามปกติ ขนุนก็สุกได้เหมือนกัน
- ให้น้ำ 100 ล.+ ฮอร์โมนไข่ 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี. + เอ็นเอเอ.25 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 7-10 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 สลับกับ 21-7-14(½-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำสม่ำเสมอ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- ขนุนที่มีผลหลายรุ่นในต้นเดียวกันนั้นค่อนข้างยุ่งยากต่อการบำรุง แนวทางแก้ไขอย่างหนึ่ง คือ เก็บผลไว้ 2 รุ่นกับดอก 1 รุ่น ส่วนผลที่โตระหว่างรุ่นแรกกับรุ่น 2 ให้เก็บจำหน่ายเป็นขนุนอ่อนหรือจัดรุ่นโดยเด็ดดอกทิ้งตั้งแต่เริ่มแทงออกมาให้เห็นก็ได้
- ให้ฮอร์โมนเอ็นเอเอ. ฮอร์โมนไข่. 1-2 รอบ/2-3 เดือน
- ถ้าต้นติดผลดกมากควรให้ฮอร์โมนน้ำดำ กับ แคลเซียม โบรอน.1-2 รอบ/ 3-4 เดือน จะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากรับภาระเลี้ยงผลมาก
วิธีเก็บเกี่ยวขนุน:
1. ตรวจอายุผล ลักษณะผล และสุ่มเก็บลงมาผ่าผลตรวจภายในก็จะรู้ว่าผลชุดนั้นสมควรเก็บเกี่ยวได้แล้วหรือยัง
2. ตัดผลลงมาจากต้นแล้ววางผลเอียงลงบนพื้นให้น้ำยางในผลไหลออกมาตามขั้วจนหมด จากนั้นจึงนำไปบ่มตามปกติ ระหว่างการบ่มถ้าต้องการเร่งให้ผลสุกเร็วขึ้นให้ใช้ไม้ปลายแหลม ขนาดเล็ก 1 ใน 4 ของขั้วผล แทงเข้าไปในขั้วผลจนสุดขั้วและลึกถึงแกนในพอประมาณ แล้วนำไปบ่มตามปกติ การใช้ไม้แทงขั้วผลแบบนี้แม้ขนุนผลนั้นแก่ไม่จัดจริงก็สุกได้เหมือนกันแต่รสชาติอาจไม่เต็มร้อยเท่าผลแก่จัด
3. ตัดผลลงมาจากต้นแล้ววางผลเอียงไล่ยางออกจากผลจนหมด ตัดขั้วทางขวางแล้วใช้ฮอร์โมน อีเทฟอน ชนิดเดียวกันกับที่ใช้เร่งให้ทุเรียนสุก (ผลแก่ไม่จัดก็สุก) หรือใช้เร่งสับปะรดเพื่อให้เนื้อฉ่ำ (แต่เปรี้ยว) ทาบนขั้วที่รอยตัด จากนั้นนำไปบ่มตามปกติ ขนุนก็สุกได้เหมือนกัน
1. ลำต้นทรงเปล้าสูงตรงหรือกิ่งง่ามแรกสูงจากพื้น 80-100 ซม.ขึ้นไป ลำต้นแข็งแรง ต้านทานโรคและแมลงดี
2. ใบใหญ่หนาเขียวเข้ม เส้นใบใหญ่นูนชัดเจน
3. การผสมเกสรดี ติดผลดก ให้ผลทะวายปีละ 2 รุ่น หรือทยอยออกเป็นหลายรุ่น
4. รูปทรงผลกลมยาว โดยเส้นผ่าศูนย์กลางความกว้างเท่ากับ 3 ใน 4 ของความสูง ผิวเรียบหรือแป้วน้อยที่สุด
5. น้ำหนักผลไม่น้อยกว่า 10 กก. และให้เนื้อไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักรวมทั้งผล
6. ขั้วผลขนาดเล็กตรงแข็งแรง แกนหรือไส้ในเล็กยาวเรียวสม่ำเสมอ ฐานผลตั้งฉากกับขั้ว
7. หนามห่างยกสูงจากผิวและเปลือกบาง
8. ยวงใหญ่ยาว เนื้อหนา มีขนาดใกล้เคียงกันทั้งผล สีเหลืองเข้มถึงสีจำปา เนื้อแห้งหวานกรอบ กลิ่นหอมจัด เนื้อที่แกะออกมาแล้วเก็บในตู้เย็นอยู่ได้นานโดยเนื้อไม่เละแฉะ
9. ปลายยวงทั้งด้านเปลือกและด้านแกนตั้งฉาก ตรงไม่คดงอหรือพับ เนื้อบริเวณสัมผัสเปลือกหรือแกนมีขนาดเล็ก
10. เนื้อมาก ซังน้อย ซังหวานรับประมานได้ เมล็ดเล็กลีบ
11. ช่วงแก่จัดใกล้เก็บเกี่ยวมีฝนชุก รสชาติต้องไม่เปลี่ยนแปลงและเมล็ดไม่งอกใน
เทคนิคการเลือกสายพันธุ์ขนุน
1. มีชื่อเสียงรู้จักกันดีในวงการผู้ปลูกไม้ผล
2. มีประวัติเคยชนะเลิศการประกวด
3. พิสูจน์ลักษณะและคุณภาพผลจากต้นแม่โดยตรง
เทคนิคการเลือกต้นกล้าพันธุ์
1. เป็นต้นกล้ากิ่งทาบ เพราะจะได้ต้นที่ระบบรากแข็งแรงดีกว่าต้นที่ขยายพันธุ์ด้วยการตอน
2. เป็นต้นกล้าขยายพันธุ์มาจากกิ่งกระโดง ลักษณะกิ่งหรือลำต้นสูงตรงตั้งฉากกับพื้น ช่วงระหว่างข้อหรือปล้องยาว เปลือกหนาติดแกะยาก (ไม่ล่อน) อายุกิ่งกลางอ่อนกลางแก่ สีเปลือกยังอ่อนสีเขียวสดหรือเริ่มมีลายงาเล็กน้อย อวบอ้วนสมบูรณ์ ใบล่างสุดใหญ่ หนา เขียวเข้ม เป็นมันวาวสดใส ซึ่งเมื่อนำไปปลูกแล้วโตเร็ว ทรงพุ่มสวย อายุยืน ระยะเวลาการให้ผลผลิตสั้นและคุณภาพผลผลิตตรงตามสายพันธุ์
3. ต้นกล้าพันธุ์ที่เป็นกิ่งแก่ คดงอ ข้อหรือปล้องสั้น เปลือกหนา แกะง่ายหรือล่อน เปลือกสีน้ำตาลแก่หรือเทาอมดำ แสดงว่าเป็นต้นกล้าที่ขยายพันธุ์มาจากกิ่งข้างชี้ลง เมื่อนำไปปลูกจะโตช้าแต่ให้ผลผลิตเร็วกว่ากิ่งกระโดง ทั้งๆที่เป็นขยายพันธุ์ออกมาจากต้นแม่เดียวกัน......ต้นกล้าที่ขยายพันธุ์จากกิ่งข้างเมื่อโตแล้วจะมีทรงพุ่มไม่สวยเหมือนต้นกล้าที่ขยายพันธุ์จากกิ่งกระโดง......ต้นกล้าทั้งที่ขยายพันธุ์มาจากกิ่งกระโดงและกิ่งข้างต่างให้ผลผลิตตรงตามสายพันธุ์เหมือนๆกัน
* ปลูกขนุนเพื่อบริโภคในบ้าน ถ้าขนุนสุก 1 ผล น้ำหนักทั้งผล 20 กก. (สมมุติ) จะมีเนื้อประมาณ 10 กก. (50 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักทั้งผล) เนื้อขนุนสุก 10 กก.คงไม่มีบ้านใดเพียงบ้านเดียวรับประทานได้หมด แนะนำให้ปลูกขนุนพันธุ์ ทะวายปีเดียว น้ำหนักทั้งผล 6-7กก.จะได้เนื้อประมาณ 3-4 กก.ซึ่งพอดีสำหรับรับประทานในบ้าน นอกจากนี้ขนุนทะวายปีเดียวยังมีคุณสมบัติเป็นทะวายออกดอกติดผลตลอดปี ให้ผลผลิตเมื่ออายุต้น 1-1 ปีครึ่ง ผลขนาดเล็กแต่ดก เนื้อเหลืองเข้ม หนา ซังหวาน เปลือกบาง ผลแป้วน้อย และปลูกง่ายโตเร็วอีกด้วย
* ธรรมชาติของขนุนออกดอกติดผลจากลำต้นหรือใต้ท้องกิ่งใหญ่แก่อายุหลายๆปี ดังนั้นการเลือกต้นกล้าพันธุ์ที่มีส่วนเปล้าหรือลำต้นสูงๆมาปลูก หลังจากนำลงปลูกในแปลงจริงแล้วต้องเร่งบำรุงให้เปล้าหรือลำต้นพุ่งสูงขึ้นไปอีก ทั้งนี้ให้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า เมื่อต้นโตขึ้นถึงอายุให้ผลผลิตแล้วกิ่งง่ามแรกจะต้องสูงจากพื้นระดับไม่น้อยกว่า 80-100 ซม.
* เมื่ออายุต้นใกล้ให้ผลผลิตแล้ว ให้พิจารณาตำแหน่งของกิ่งทั้งหมดว่า ในอนาคตเมื่อต้นโตเต็มที่หรือให้ผลผลิตแล้ว กิ่งไหนจะบังแสงแดดกิ่งอื่นบ้าง โดยให้ต้นมีกิ่งสำหรับออกดอกติดผลจำนวนเพียง 5-6 กิ่งต่อความสูงต้น 5 ม.เท่านั้น ช่วงที่ต้นยังไม่ให้ผลผลิตหรือใกล้ให้ผลผลิตแล้วนี้ควรเลือกตัดกิ่งที่ไม่เหมาะสมออกทิ้งไปโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นกิ่งขนาดเล็กหรือใหญ่ แม้ต้องตัดกิ่งขนาดใหญ่ทิ้งแต่เมื่อต้นมีน้ำเลี้ยงมากๆ (เพราะไม่ต้องส่งไปเลี้ยงกิ่งใหญ่แล้ว) กิ่งขนาดเล็กที่เหลือจะโตเร็วเป็นกิ่งขนาดใหญ่ขึ้นมาแทนเอง ทั้งนี้ กิ่งที่เหลือเก็บไว้ให้เป็นกิ่งสำหรับให้ออกดอกติดผลผลนั้นต้องชี้ออกรอบทิศทางทุกด้านเท่าๆกัน หรือเป็นกิ่งที่ออกจากลำต้นประธานสม่ำเสมอกัน และระหว่างกิ่งบนกับกิ่งล่างต้องไม่ซ้อนกันจนบังแสงแดดซึ่งกันและกัน
* ต้นขนุนที่ออกดอกติดผลจากใต้ท้องกิ่ง เมื่อต้นโตเต็มที่หรือให้ผลผลิต 3-5 รุ่นแล้ว ถ้ากิ่งที่เคยออกดอกติดผลนั้นทำมุมแคบกับลำต้น (ชี้เฉียงขึ้น) ให้ดัดกิ่งโดยใช้ถุงทรายหรือก้อนหินผูกกับกิ่งเพื่อค่อยๆโน้มกิ่งนั้นให้โน้มลงระนาบกับพื้น ซึ่งจะส่งผลให้การออกดอกติดผลดีขึ้น กิ่งแก่เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-5 นิ้วอาจต้องใช้เวลาดัดกิ่งด้วยการถ่วงน้ำหนักนานข้ามปี.......ส่วนต้นที่ออกดอกติดผลตามลำต้น ถ้าไม่โน้มกิ่งลงให้โน้มระนาบกับพื้นก็จะยังคงออกดอกติดผลตามลำต้นต่อไป ครั้นเมื่อได้โน้มกิ่งลงให้ระนาบกับพื้นก็จะเปลี่ยนมาเป็นออกดอกติดผลจากท้องกิ่งได้ ซึ่งเท่ากับว่าขนุนต้นนั้นออกดอกติดผลได้ทั้งที่ลำต้นและท้องกิ่ง........สายพันธุ์ที่เมื่อต้นโตขึ้นแล้วจะโน้มกิ่งลงระนาบกับพื้นเองตามธรรมชาติ คือ แม่น้อยทะวาย ซึ่งมีนิสัยออกดอกติดผลที่ท้องกิ่งแล้วน้ำหนักผลเป็นตัวถ่วงให้กิ่งโน้มลงระนาบกับพื้นเอง
* ขนุนอายุต้น 2 ปียังไม่ให้ผลผลิต ให้ใช้เชือกผูกกิ่งแล้วค่อยๆโน้มลงทุก 3-4 เดือน เมื่อขนุนต้นนั้นโตขึ้นจะมีกิ่งโน้มลงระนาบกับพื้นเอง
ลักษณะผลแก่จัด
1. หนามห่าง ปลายทู่ ร่องระหว่างหนามห่าง
2. ผลที่เปลือกเขียวหรือเขียวอมเหลือง สีเปลือกจะเปลี่ยนเป็นเหลืองเข้ม
3. ใบเลี้ยงที่ติดอยู่กับขั้วผลซีดเหลือง
4. น้ำยางจากขั้วผลจางใส
5. เคาะผลฟังเสียงหลวม
* อายุต้นเริ่มให้ผลผลิตได้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ กล่าวคือ บางสายพันธุ์เริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุต้นเพียง 1 ปีหลังปลูก ในขณะที่บางสายพันธุ์เริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุต้น 3-5 ปีหลังปลูก
อายุต้นขนุนกับการไว้จำนวนผล
- อายุต้น 3-5 ปี ไว้ผล 5-7 ผล/ต้น/ปี หรือ/รุ่น
- อายุต้น 5-10 ปี ไว้ผล 20-25 ผล/ต้น/ปี หรือ/รุ่น
- อายุต้น 15-20 ปี ไว้ผล 30-40 ผล/ต้น/ปี หรือ/รุ่น
- อายุต้น 20 ปีขึ้นไปไว้ผล 40-50 ผล/ต้น/ปี หรือ/รุ่น
* ขนุนออกดอกช่วงเดือน ก.ย.-พ.ย.พร้อมกันแล้วแก่เก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือน เม.ย.เป็นขนุนพันธุ์เบา คุณภาพดีและขายได้ราคาดี ส่วนที่แก่เก็บเกี่ยวได้ในเดือน มิ.ย.เป็นขนุนพันธุ์หนัก ขนุนชุดนี้เป็นขนุนปีหรือขนุนในฤดูมักมีปริมาณออกสู่ตลาดมาก กอร์ปกับออกตรงกับช่วงหน้าฝนด้วยคุณภาพมักไม่ดีจึงจำหน่ายไม่ได้ราคา
* ขนุนออกออกดอกช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. แล้วแก่เก็บเกี่ยวได้ช่วงเดือน พ.ย. เป็นขนุนพันธุ์เบา ส่วนที่แก่เก็บเกี่ยวได้ในเดือน ธ.ค.เป็นขนุนพันธุ์หนัก ขนุนชุดนี้เป็นขนุนนอกฤดู มีปริมาณออกสู่ตลาดน้อย ผลแก่จัดตรงกับช่วงฝนแล้ง คุณภาพจึงดี ส่งผลให้ได้ราคาดีไปด้วย
* ขนุนทะวาย คือ ขนุนที่ออกดอกติดผลปีละ 2 รุ่น หรือทยอยออกจนไม่เป็นรุ่นขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้น ส่วนขนุนปีเป็นขนุนที่ออกดอกติดผลเพียงปีละ 1 รุ่นแม้จะได้บำรุงอย่างดีแล้วก็ตาม
หมายเหตุ :
ผู้บริโภคมักไม่สนใจว่าเป็นขนุนสายพันธุ์ใด ถ้าเห็นว่าคุณภาพดีตามต้องการก็จะซื้อทันที นั่นคือ ผู้ปลูกจะต้องรู้ถึงวิธีการปฏิบัติบำรุงอย่างถูกต้อง เพราะขนุนทุกสายพันธุ์ตอบสนองดีมากต่อปุ๋ยและฮอร์โมนซึ่งจะส่งผลให้ได้คุณภาพดีเอง
* ขนุนละมุดเป็นขนุนอีกสายพันธุ์หนึ่ง แต่ชาวสวนไม่นิยมปลูกเพราะเมื่อสุกจัด เนื้อเละเปียกแฉะ ไม่น่ารับประทาน แม้ว่าจะมีกลิ่นหอมรสหวานจัดก็ตาม..........ขนุนละมุดต้องรับประทานช่วงที่ผลเริ่มสุก (ห่าม) ซึ่งนอกจากเนื้อไม่เละเปียกแฉะแล้วยังหวานมันและกรอบดีอีกด้วย
* ขนุนใบแฉกเมื่อโตแล้วจะไม่ออกดอกติดผล
การขยายพันธุ์
ตอน. ทาบกิ่ง . เสียบยอด. เพาะเมล็ด (กลายพันธุ์). เพาะเมล็ดเสริมรากเสียบยอด (ดีที่สุด).
ระยะปลูก
- ระยะปกติ 8 X 8 ม. หรือ 8 X 10 ม.
- ระยะชิด 4 X 4 ม. หรือ 6 X 6 ม.
เตรียมดินและอินทรีย์วัตถุ
- ใส่ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม + มูลไก่ไข่/เนื้อ/นกกระทา (แห้งเก่าข้ามปี) ปีละ 2 ครั้ง
- ให้ยิบซั่มธรรมชาติ ปีละ 2 ครั้ง
- ให้กระดูกป่น ปีละ 1 ครั้ง
- คลุมโคนต้นด้วยเศษพืชแห้งหนาๆเต็มพื้นที่บริเวณทรงพุ่ม ล้ำออกไปถึงนอกเขตทรงพุ่ม
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิงหรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง
หมายเหตุ :
- การฝังซากสัตว์ เช่น หอยเชอรี่ ปลาสด เป็นชิ้นเท่าลูกมะนาวหรือบดละเอียด ที่ชายเขตทรงพุ่ม 4-5 หลุม/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม. ฝังปีเว้นปี เพื่อให้ต้นมีสารอาหารกินตลอด 24 ชม. ต่อเนื่องหลายๆปีจะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์สูงพร้อมต่อการบำรุงทุกขั้นตอน
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ (ทางใบ-ทางราก) บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต ไม่แตกใบอ่อน ผลหยุดขยายขนาดแล้วกลายเป็นผลแก่ การให้ทางใบอาจเป็นแหล่งอาศัยและแพร่ระบาดของเชื้อราได้
- ฮอร์โมนธรรมชาติและฮอร์โมนวิทยาศาสตร์จะให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยก็ต่อเมื่อ ต้นมีสภาพความสมบูรณ์สูง
เตรียมต้น
ตัดแต่งกิ่ง :
ขนุนออกดอกติดผลที่ลำต้นและใต้ท้องกิ่งขนาดใหญ่ บางสายพันธุ์ออกติดผลตามลำต้นส่วนที่อยู่สูงจากพื้นมากๆ บางสายพันธุ์ออกดอกติดผลตามลำต้นสูงจากพื้นไม่มากหรือกองดินเลยก็มี บางสายพันธุ์ออกดอกติดผลเฉพาะตามท้องกิ่งโดยไม่ออกตามลำต้น แต่บางสายพันธุ์ออกดอกติดผลได้ทั้งที่ลำต้นและท้องกิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใด หรือออกดอกติดผลที่ส่วนใดของต้นก็ตาม ไม่ควรมีกิ่งขนาดเล็กภายในทรงพุ่ม การตัดแต่งกิ่งให้ตัดแล้วเรียกใบชุดใหม่เฉพาะปลายกิ่งเท่านั้น ช่วงตัดแต่งกิ่งควรตัดให้เหลือใบประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์และเมื่อใบอ่อนชุดใหม่ออกมาแล้วให้มีใบประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์จะช่วยให้การออกดอกติดผลดี
ตัดกิ่งบังแสงแดดต่อกิ่งอื่นออก ทำให้ทรงพุ่มโปร่งจนแสงแดดสามารถส่องได้ถึงทุกกิ่งทั่วทรงพุ่ม กิ่งได้รับแสงแดดจะสมบูรณ์ดีกว่ากิ่งไม่ได้รับแสงแดดหรือได้รับแสงแดดน้อย
ตัดกิ่งกระโดง กิ่งในทรงพุ่ม กิ่งคดงอ กิ่งชี้ลง กิ่งไขว้ กิ่งหางหนู กิ่งเป็นโรค ภายในทรงพุ่มควรให้โปร่งจนแสงส่องผ่านลงไปถึงโคนต้นได้
- ตัดยอดกิ่งประธาน (ผ่ากบาล) ณ ความสูงต้นตามต้องการ นอกจากช่วยทำให้แสงแดดผ่านจากยอดเข้าสู่ภายในทรงพุ่มได้อย่างทั่วถึงแล้วแสงแดดที่ร้อนยังช่วยกำจัดเชื้อราได้เป็นอย่างดี และเพื่อควบคุมขนาดความสูงทรงพุ่มอีกด้วย
- นิสัยการออกดอกของขนุนไม่จำเป็นต้องกระทบหนาว แต่ถ้าตัดแต่งกิ่ง-เรียกใบอ่อนช่วงต้นหน้าฝนแล้วเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงต่อไปตามลำดับอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ จะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์เต็มที่ดีกว่าการตัดแต่งกิ่งในช่วงอื่น
ตัดแต่งราก :
- ต้นที่อายุยังน้อยไม่ควรตัดแต่งรากแต่ถ้าต้องการสร้างรากใหม่มีประสิทธิภาพในการหาอาหารดียิ่งขึ้นให้ใช้วิธีล่อรากด้วยการพูนโคนต้นด้วยดิน 3 ส่วนกับอินทรีย์วัตถุ 1 ส่วน
- ต้นอายุหลายปี ระบบรากเก่าและแก่มาก ให้พิจารณาตัดแต่งรากส่วนปลายออก 1 ใน 4 ด้วยการพรวนดินรอบทรงพุ่มลึก 10-15 ซม. หลังจากให้ฮอร์โมนบำรุงรากไปแล้วต้นจะแตกรากใหม่จำนวนมากขึ้นและมีประสิทธิภาพในการดูดซับสารอาหารได้ดีกว่าเดิม
1. เรียกใบอ่อน
ทางใบ :
ให้น้ำ 100 ล. + 46-0-0 (200 กรัม) หรือ 25-5-5 (200 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + จิ๊บเบอเรลลิน 10 ซีซี.+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 5-7 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (½-1) กก./ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้ น้ำเปล่า ทุก 3-5 วัน
หมายเหตุ :
- การบำรุงต่อขนุนปี (ออกดอกติดผลปีละ 1 รุ่น) ควรเรียกใบอ่อน 2 ชุด
- ใบอ่อนเมื่อออกมาแล้วควรเร่งให้เป็นใบแก่เร็วๆ และต้องระวังโรคและแมลงศัตรูเข้าทำลายใบให้ดี เพราะหากใบอ่อนชุดใดชุดหนึ่งถูกลายเสียหายก็ต้องเริ่มเรียกชุดที่ 1 ใหม่ ซึ่งจะทำให้เสียเวลาและกำหนดระยะการออกดอกติดผลต้องเลื่อนออกไปอีกด้วย
- เรียกใบอ่อนโดยการใส่ปุ๋ยทางรากสูตร 25-7-7 จะช่วยให้ได้ใบขนาดใหญ่หนา มีพื้นที่หน้าใบสังเคราะห์อาหารมาก และคุณภาพดีกว่าใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ
- หลังจากให้ทางใบไปแล้ว 5-7 วันถ้าต้นใดแตกใบอ่อนน้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ให้ฉีดพ่นซ้ำรอบสองด้วยอัตราและวิธีการเดิม เพราะถ้าต้นแตกใบอ่อนไม่พร้อมกันทั่วทั้งต้นจะส่งผลเสียหลายอย่างตั้งแต่การเร่งใบอ่อนเป็นใบแก่ การสะสมอาหารเพื่อการออก การปรับ ซี/เอ็น เรโช. การเปิดตาดอก ซึ่งจะออกดอกไม่พร้อมกันทั่วทั้งต้น และเมื่อดอกออกไม่พร้อมกันก็กลายเป็นผลไม่พร้อมกันทำให้ยุ่งยากต่อการปฏิบัติบำรุงตามขั้นตอนอย่างมาก....แนวทางแก้ไข คือ ต้องบำรุงเรียกใบอ่อนให้ออกมาเป็นชุดเดียวพร้อมกันทั้งต้นให้ได้
- ขนุนต้องการใบอ่อน 2 ชุด ถ้าต้นสมบูรณ์ดี มีการเตรียมดินและปรับปรุงบำรุงดินสม่ำเสมอต่อเนื่องมาหลายๆปีแล้ว หลังจากใบอ่อนชุดแรกเริ่มๆเพสลาดแล้วให้เรียกใบอ่อนชุดที่ 2 ต่อได้เลย ใบชุดที่ 2 นี้อาจจะออกไม่พร้อมกันทั้งต้นเหมือนชุดแรกแต่ก็ไม่ควรออกห่างกันไม่เกิน 7-10 วัน และหลังจากใบอ่อนชุดที่ 2 เริ่มเพสลาดก็ให้เข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงต่อไปตามปกติ
2. เร่งใบอ่อนเป็นใบแก่
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 0-21-74 (200 กรัม) หรือ 0-39-39 (200 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 3-5 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ 8-24-24 (1/2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- ลงมือบำรุงเมื่อใบอ่อนชุดแรกอกมาเริ่มแผ่กาง
- วัตถุประสงค์เพื่อเร่งใบชุดใหม่ให้สามารถสังเคราะห์อาหารได้ และเร่งระยะเวลาเรียกใบอ่อนชุดต่อไปได้เร็วขึ้น กับทั้งเพื่อให้ใบอ่อนรอดพ้นจากทำลายของแมลงปากกัดปากดูด
- สารอาหารในกลุ่มเร่งใบอ่อนเป็นใบแก่มีฟอสฟอรัส.และโปแตสเซียม.) นอกจากช่วยเร่งใบอ่อนเป็นใบแก่ได้แล้วยังช่วยเสริมประสิทธิภาพขั้นตอนสะสมอาหารเพื่อการออกดอกได้อีกด้วย
3. สะสมอาหารเพื่อการออกดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 0-42-56 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 5-7 วัน ติดต่อกัน 2-3 รอบแล้วให้น้ำ 100 ล. + ฮอร์โมนไข่ 25 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. สลับ 1 รอบ ฉีดพ่นพอเปียกใบ ติดต่อกัน 1-2 เดือน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 (½-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติทุก 3-5 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มลงมือบำรุงเมื่อใบอ่อนชุด 2 เพสลาด
- แนวทางบำรุงให้ต้นได้สะสมอาหารเพื่อการออกดอกไว้มากที่สุดควรเตรียมแผนใช้เวลาบำรุง 2-2 เดือนครึ่ง ในห้วงนี้ให้กลูโคสหรือนมสัตว์สด 2 รอบ โดยรอบแรกให้เมื่อเริ่มลงมือบำรุงและให้รอบ 2ห่างจากรอบแรก 20-30 วัน
- ขั้นตอนนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการออกดอก ควรเน้นสารอาหารทั้งกลุ่มสร้างดอกบำรุงผล หรือ ซี.(คาร์บอน-คาร์โบไฮเดรท) และสารอาหารกลุ่มสร้างใบบำรุงต้น หรือ เอ็น. (ไนโตรเจน) ให้มากที่สุดทั้ง 2 อย่างเท่าที่จะมากได้
- ถ้าสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยให้งดน้ำหรือปรับ ซี/เอ็น เรโช. เช่น ฝนตกชุกหรือยังไม่ถึงกำหนดทำให้ออกดอกแล้วเป็นผลรุ่นใหญ่ทั้งต้นที่เก็บเกี่ยวได้ตรงกับช่วงที่ตลาดต้องการก็ให้บำรุงต้นด้วยสูตร “กดใบอ่อน-สะสมอาหาร” ต่อไปอีก
- ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงขั้นต่อไป คือ ปรับ ซี/เอ็น เรโช. ให้ทบทวนความทรงจำเมื่อครั้งเรียกใบอ่อนแล้วใบอ่อนออกมาพร้อมกันเป็นชุดเดียวทั่วทั้งต้นหรือไม่ ถ้าใบอ่อนออกมาพร้อมกันดีทั่วทั้งต้นให้ปรับ ซี/เอ็น เรโช.ต่อไปได้เลย แต่ถ้าใบอ่อนออกมาไม่พร้อมกันเป็นชุดเดียวทั่วทั้งต้นและค่อนข้างต่างรุ่นกันมากก็ให้บำรุงสะสมอาหารเพื่อการออกดอกต่อไปอีก 2-3 รอบ เพื่อรอให้ใบอ่อนชุดหลังสะสมอาหารจนอั้นตาดอกดีเท่ากับใบอ่อนชุดแรกจากนั้นจึงลงมือปรับ ซี/เอ็น เรโช. ทั้งนี้ วัตถุประสงค์เพื่อทำให้มีดอกออกมาพร้อมกันเป็นชุดเดียวกันทั่วทั้งต้นนั่นเอง
4. ปรับ ซี/เอ็น เรโช
ทางใบ :
- ในรอบ 7-10 วันให้น้ำ 100 ล. + 0-42-56 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1 รอบกับให้น้ำ 100 ล.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. อีก 1 รอบ ฉีดพ่นพอเปียกใบ
ทางราก :
- เปิดหน้าดินโคนต้น
- งดน้ำเด็ดขาด
หมายเหตุ :
- วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณ ซี. (อาหารกลุ่มสร้างดอก-บำรุงผล) และลดปริมาณ เอ็น. (อาหารกลุ่มสร้างใบ-บำรุงต้น) ซึ่งจะส่งผลให้ต้นเกิดอาการอั้นตาดอกดี
- ก่อนลงมือปรับ ซี/เอ็น เรโช จะต้องติดตามข่าวพยากรณ์อากาศให้มั่นใจว่าระหว่างปรับ ซี/เอ็น เรโช นั้นจะต้องไม่มีฝนตก เพราะถ้ามีฝนตกลงมามาตรการงดน้ำก็ต้องล้มเหลว
- ขั้นตอนการปรับอัตราส่วน ซี/เอ็น เรโช. จะได้ผลสมบูรณ์ดีหรือไม่ให้สังเกตจากต้น ถ้าต้นเกิดอาการใบสลดแสดงว่าในต้นมีปริมาณ ซี.มากขึ้นส่วนปริมาณ เอ็น.เริ่มลดลง และความพร้อมของต้นก่อนเปิดตาดอกสังเกตได้จากลักษณะใบใหญ่หนาเขียวเข้ม ใบคู่สุดท้ายปลายกิ่งแก่จัด กิ่งช่วงปลายและใบกรอบเปราะ ข้อใบสั้น หูใบอวบอ้วน ตาดอกโชว์เห็นชัด
- การให้สารอาหารทางใบซึ่งมีน้ำเป็นส่วนผสมนั้นอย่าให้โชกจนลงถึงพื้นเพราะจะกลายเป็นการให้น้ำทางราก แนวทางปฏิบัติ คือ ให้บางๆเพียงเปียกใบเท่านั้น
- เมื่องดน้ำ (ไม่รดน้ำ) แล้วต้องควบคุมปริมาณน้ำใต้ดินโคนต้นไม่ให้มากเกินไปโดยการทำร่องระบายน้ำใต้ดินหรือร่องสะเด็ดน้ำด้วย
- กรณีสวนยกร่องน้ำหล่อต้องใช้ระยะเวลาในการงดน้ำนานมากกว่าสวนพื้นราบยกร่องแห้งจึงจะทำให้ใบสลดได้ซึ่งอาจจะส่งผลให้แผนการผลิตที่กำหนดไว้คลาดเคลื่อน ดังนี้จึงจำเป็นต้องสูบน้ำออกตั้งแต่ก่อนปรับ ซี/เอ็น เรโช. โดยกะระยะเวลาให้หน้าดินโคนต้นแห้งถึงขนาดแตกระแหงและมีความชื้นไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ตรงกับช่วงปรับ ซี/เอ็น เรโช พอดี
6. เปิดตาดอก
ทางใบ :
สูตร 1......ให้น้ำ 100 ล. + สาหร่ายทะเล 50 กรัม + ฮอร์โมนไข่ 100 ซีซี. + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.
สูตร 2..... ให้น้ำ 100 ล. +13-0-46 (500 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.
เลือกใช้สูตรใดสูตรหนึ่งหรือทั้งสองสูตรแบบสลับครั้งกัน ห่างกันครั้งละ 5-7 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
ทางราก :
- ให้ 8-24-24 (½ กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำปกติทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เลือกใช้ให้ทางใบด้วยสูตรใดสูตรหนึ่งหรือใช้ทั้งสองสูตรแบบสลับครั้งกันก็ได้
- ให้ 8-24-24 โดยละลายน้ำราดโคนต้นจะได้เร็วกว่าการหว่านแล้วตามด้วย
- หลังจากเปิดตาดอกแล้ว ถ้าดอกออกมาไม่มากพอ ระหว่างที่ดอกชุดแรกยังเป็นดอกตูมอยู่นั้น ให้เปิดตาดอกซ้ำอีก 1-2 รอบด้วยสูตรเดิม หรือจนกระทั่งดอกชุดแรกบานแล้วจึงยุติการเปิดตาดอกซ้ำ
6. บำรุงดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 15-45-15 (200 กรัม) + แคลเซียม โบรอน. 100 ซีซี. + เอ็นเอเอ. 100 ซีซี. + ฮอร์โมนไข่ 25 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 5-7 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 3 วัน
ทางราก :
- ยังคงเปิดหน้าดินโคนต้นเช่นเดิม
- ให้ 8-24-24 (½-1 กก)./ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำพอหน้าดินชื้น
หมายเหตุ :
- ดอกตัวผู้กับดอกตัวเมียอยู่ในต้นเดียวกันแต่คนละดอก บางสายพันธุ์ผสมกันเองแล้วติดเป็นผลดีแต่บางสายพันธุ์ผสมกันเองแล้วติดผลไม่ดีนัก ก็ให้ช่วยผสมเกสรด้วยมือมือโดยนำช่อดอกตัวผู้พร้อมผสมสายพันธุ์เดียวกันหรือต่างสายพันธุ์จากต่างต้นมาเคาะเบาๆ ใส่ช่อดอกตัวเมียพร้อมรับผสมของต้นที่ต้องการให้ติดผล ช่วงเช้า (08.30-12.00 น.) จะช่วยให้การติดเป็นผลดีขึ้น
- ช่วงดอกตั้งแต่เริ่มแทงออกมาให้เห็นหรือระยะดอกตูม บำรุงด้วยฮอร์โมน เอ็นเอเอ. 1-2 รอบ จะช่วยบำรุงเกสรทั้งตัวผู้และตัวเมียให้สมบูรณ์พร้อมรับผสม แต่ต้องใช้ด้วยระมัดระวังเพราะถ้าให้เข้มข้นเกินไปจะเกิดความเสียหายต่อดอกและถ้าให้อ่อนเกินไปก็จะไม่ได้ผล
- ช่วงดอกเริ่มแทงออกมาใหม่ๆให้แคลเซียม โบรอน. 1 รอบ จะช่วยให้ดอกสมบูรณ์ผสมติดดี
- ช่วงดอกตูมควรฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรให้บ่อยขึ้น เพื่อป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชจนถึงช่วงดอกบาน
- ช่วงดอกบานควรงดการฉีดพ่นทางใบโดยเฉาะช่วงกลางวัน (08.00-12.00 น.) เพราะอาจทำให้เกสรเปียกจนผสมไม่ติดได้ หากจำเป็นต้องฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรให้ฉีดพ่นช่วงหลังค่ำ
- ระยะดอกบานถ้าตรงกับช่วงฝนชุกเกสรจะเปียกชื้นทำให้ผสมไม่ติด แก้ไขโดยกะระยะเวลาให้ดอกออกมาแล้วไม่ตรงกับช่วงฝนชุกเท่านั้น แต่ถ้าดอกออกมาตรงกับช่วงแล้งอากาศร้อนมากเกสรจะฝ่อทำให้ผสมไม่ติดได้เช่นกัน แก้ไขโดยสร้างความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศและที่พื้นดินในทั้งในแปลงปลูกและรอบๆแปลงปลูก..........มาตรการบำรุงต้นและดอกให้สมบูรณ์อย่างแท้จริงอยู่เสมอจะช่วยลดความสูญเสียได้เป็นอย่างมาก
- เพื่อความมั่นใจในเปอร์เซ็นต์หรือประสิทธิภาพของฮอร์โมน เอ็นเอเอ. แนะนำให้ใช้ฮอร์โมนเอ็นเอเอ.วิทยาศาสตร์แทนฮอร์โมน เอ็นเอเอ.ทำเองจะได้ผลกว่า
- ฉีดพ่นสารอาหารเพื่อบำรุงดอกด้วยเครื่องมือฉีดพ่นที่มีแรงลมพ่นเบาที่สุดตามความเหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อส่วนต่างๆของดอก ฉีดพ่นที่ช่อดอกโดยตรงพอเปียกหรือฉีดพ่นให้ทั่งทรงพุ่มพอเปียกใบก็ได้
- บำรุงดอกช่วงฝนชุกให้เน้น “สังกะสี และ แคลเซียม โบรอน” โดยให้เมื่อดอกออกมาแล้วหรือให้แบบสะสมล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงเปิดตาดอก ด้วยวิธีให้เดี่ยวๆหรือผสมรวมไปกับธาตุอาหารอื่นๆก็ได้
- การไม่ใช้สารเคมีเลยติดต่อกันเป็นเวลานานๆจะมีผึ้งหรือมีแมลงธรรมชาติอื่นๆจำนวนมากเข้ามาช่วยผสมเกสรส่งผลให้ติดผลดกขึ้น
7. บำรุงผลเล็ก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 21-7-14 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + เอ็นเอเอ. 25 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 5-7 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ยิบซั่มธรรมชาติ 10 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการให้เมื่อช่วงเตรียมดิน
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (½-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติ ทุก 3-5 วัน
- คลุมโคนต้นหนาๆด้วยเศษพืชแห้ง
หมายเหตุ :
- การให้น้ำต้องค่อยๆเพิ่มปริมาณเพื่อให้ต้นปรับตัวทันจนกระทั่งถึงอัตราปกติ
- ระยะผลเล็ก ถ้าถูกแมลงปากกัด/ปากดูด (เพลี้ย ไร) เข้าทำลายจะทำให้รูปทรงผลและคุณภาพภายในผลเสียไปจนกระทั่งเป็นผลใหญ่
- พิจารณาตำแหน่งติดผลแล้วตัดแต่งช่อผลโดยเลือกผลตัดทิ้งหรือคงไว้
8. บำรุงผลกลาง
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 21-7-14 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 กรัม + ไคโตซาน 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 7-10 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 21-7-14 (1/2 กก)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติเมื่อเมล็ดเริ่มเข้าไคล การที่จะรู้ว่าผลเริ่มเข้าไคลแล้วต้องใช้วิธีสุ่มเก็บผลมาผ่าดูเมล็ดภายใน
- การบำรุงระยะผลขนาดกลางต้องให้น้ำมากสม่ำเสมอแต่ต้องไม่ขังค้าง ถ้าได้รับน้ำน้อยผลจะแคระแกร็น หากมีฝนตกหนักลงมากระทันหันอาจจะทำให้ผลแตกผลร่วงได้
- ให้ฮอร์โมน เอ็นเอเอ. ฮอร์โมนไข่ 1-2 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดช่วงผลกลางจะช่วยให้ต้นเขียวสดอยู่เสมอ
- ถ้าต้นติดผลดกมากควรให้ฮอร์โมนน้ำดำ กับ แคลเซียม โบรอน. 1-2 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดระยะผลกลางจะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากรับภาระเลี้ยงผลมาก
9. บำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 0-21-74 (200 กรัม) หรือ 0-0-50 (200 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. หรือน้ำ 100 ล. + มูลค้างคาวสกัด 100 ซีซี. + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วันก่อนเก็บเกี่ยว ฉีดพ่นพอเปียกใบ
ทางราก :
- เปิดหน้าดินโคนต้น
- ให้ 13-13-21 หรือ 8-24-24 สูตรใดสูตรหนึ่ง (1/2-1 กก.)/ต้น
- ให้น้ำเพื่อละลายปุ๋ยแล้วงดน้ำจนเก็บเกี่ยว
หมายเหตุ :
- การให้ปุ๋ยเร่งหวาน (0-21-74 หรือ 0-0-50) ทางใบช่วงฝนแล้งจะทำให้มีรสหวานจัดขึ้นไปอีก จนเรียกได้ว่า “หวานทะลุองศาบริกซ์”
- การให้ “มูลค้างคาวสกัด” ในอัตราเข้มข้นเกินไปอาจทำให้ผลแตกได้ ดังนั้น ช่วงบำรุงผลขนาดกลางจะต้องสร้างเปลือกให้หนาไว้ก่อนด้วยปุ๋ยทางรากสูตร 21-7-14 ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาปุ๋ยแรงจนผลแตกได้
- หากต้องการให้รสหวานพอดีๆ หรือแน่ใจว่าบำรุงเร่งหวานทางรากดีแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเร่งหวานด้วยปุ๋ยทางใบอีกก็ได้ ทั้งนี้ให้พิจารณาตามความเหมาะสม
- ขนุนที่ให้ผลผลิตเป็นรุ่นเดียวทั้งต้น (อายุผลเท่ากันทุกผล) ถ้าให้ 13-13-21 ต้นจะโทรมจนเห็นได้ชัดเจน หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วต้องเร่งบำรุงฟื้นฟูสภาพต้นเรียกความสมบูรณ์กลับคืนมาทันที เพื่อเตรียมการบำรุงสร้างผลผลิตรุ่นต่อไป แต่ถ้าให้ทางรากด้วย 8-24-24 คู่กับให้ทางใบด้วย 0-21-74 ต้นจะไม่โทรม
- ในต้นที่มีผลหลายรุ่น (ผลไหนแก่ก่อนเก็บก่อน-ผลไหนแก่ทีหลังเก็บทีหลัง) แนะนำให้ทางรากด้วย 8-24-24 คู่กับทางใบ 0-21-74 ระหว่างนี้ผลแก่จะหวาน ในขณะที่ผลรองลงมาจะชะงักการเจริญเติบโตแต่ไม่มีปัญหาเพราะหลังจากเก็บเกี่ยวผลแก่ไปแล้วให้กลับมาบำรุงผลที่เหลือต่อไปตามปกติ
ช่วงหน้าฝน :
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + มูลค้างคาวสกัด 100 ซีซี. หรือ 0-21-74 (200 กรัม)หรือ 0-0-50 (200 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ ระวังอย่าให้โชกลงถึงพื้นเพราะกระทบกระเทือนต่อการงดน้ำ
- ให้สารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- เปิดหน้าดินโคนต้น
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 (½-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- งดการให้น้ำเด็ดขาดพร้อมกับควบคุมปริมาณน้ำใต้ดินโคนต้นโดยทำช่องทางระบายน้ำฝนที่ตกลงมาให้ได้
หมายเหตุ :
- ในน้ำฝนและน้ำที่รดมีไนโตรเจน ส่งผลกระทบต่อผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวอย่างมาก กล่าวคือ ทำให้แก่ช้าหรืออายุเก็บเกี่ยวต้องยืดออกไป. รสชาติไม่หวานหรืออมเปรี้ยว. กลิ่นเนื้อในยวงเหม็น. เมล็ดงอก. ผลแตก. ผลร่วง. เปลือกหนา. ซังเหนียว. เนื้อเหนียวและเสี้ยนมาก.
- การปรับปรุงคุณภาพผลช่วงแก่จัดใกล้เก็บเกี่ยวแล้วตรงกับช่วงที่มีฝนชุกเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ดังนั้นทุกครั้งก่อนเปิดตาดอกจะต้องคำนวณวันที่ผลแก่เก็บเกี่ยวได้ไม่ควรให้ตรงกับช่วงฝนชุก และเตรียมมาตรการควบคุมปริมาณน้ำใต้ดินโคนต้นให้ดีก่อนเสมอ
- การเลือกสายพันธุ์ที่ไม่มีผลกระทบในเรื่องของคุณภาพผลเมื่อผลแก่จัดใกล้เก็บเกี่ยวแล้วมีฝนชุก เช่น ทองสุดใจ. เหรียญทอง. หรือเลือกปลูกขนุนสายพันธุ์ทะวายแล้วควบคุมการปฏิบัติบำรุงให้ผลแก่ไม่ตรงกับช่วงฝนชุก ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด
- หลังจากหมดฝนแน่นอนแล้วให้บำรุงด้วยสูตร “บำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว” แบบเดิมต่อไปอย่างน้อย 15-20 วัน จากนั้นตรวจสอบด้วยการสุ่มเก็บมาผ่าดูภายในซึ่งก็จะรู้ว่าสมควรเก็บเกี่ยวได้แล้วหรือยัง
วิธีทำขนุนนอกฤดู :
- ราคาดีในช่วงเดือน ธ.ค.- ม.ค. เนื่องจากมีผลไม้ยอดนิยมออกสู่ตลาดน้อย
- ขนุนเป็นไม้ผลที่ไม่ตอบสนองต่อสารพาโคลบิวทาโซลหรือสารบังคับใดๆให้ออกนอกฤดูทั้งสิ้น นอกจากไม่ตอบสนองแล้วยังเป็นอันตรายต่อต้นจนถึงตายได้อีกด้วย ดังนั้นการทำขนุนให้ออกนอกฤดูกาลจึงต้องทำจากขนุนสายพันธุ์ทะวายเท่านั้น แม้แต่ขนุนทะวายสายพันธุ์เดียวกันแต่เป็นคนละต้น ยังมีนิสัยออกดอกติดผลไม่พร้อมกันหรือไม่เหมือนกันอีกด้วย แต่นิสัยที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือออกดอกปีละ 2 รุ่นหรือมากกว่าเสมอ ดังนั้น เมื่อจะทำขนุนให้ออกนอกฤดูก็ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับนิสัยการออกดอกของขนุนต้นที่ปลูกให้ละเอียดลึกซึ้งถึงขนาดรู้ว่าต้นไหนออกดอกเดือนไหนของปีบ้าง ซึ่งอาจต้องมีการจดบันทึกไว้เพื่อป้องกันความผิดพลาดเรื่องการกะเก็งระยะเวลา และเมื่อรู้แน่แล้วว่าดอกแต่ละชุดซึ่งเป็นดอกนอกฤดูจะออกเมื่อใดก็ให้เริ่มบำรุงตามขั้นตอนดังนี้
- ขนุนสายพันธุ์ทะวายต้นนั้นมีนิสัยออกดอกปีละ 2 รุ่น โดยรุ่นใดรุ่นหนึ่งตรงกับขนุนปีแล้วอีกรุ่นหนึ่งจะไม่ตรงกับขนุนปี ดอกรุ่นที่ออกมาตรงกับขนุนปีให้เด็ดทิ้งทั้งหมด จากนั้นให้เริ่มลงมือบำรุงตามขั้นตอนตั้งแต่เรียกใบอ่อน
– สะสมอาหารเพื่อการออกดอก
- ปรับ ซี/เอ็น เรโช.
- เปิดตาดอก ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือนจึงจะมีดอกออกมาให้เห็น ทั้งนี้ขนุนสายพันธุ์ทะวายมักออกดอกติดผลง่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกับยิ่งถ้าได้รับการบำรุงแบบให้มีสารอาหารกินตลอด 24 ชม.ต่อเนื่องติดต่อกันมานานนับหลายปีด้วยแล้วจะออกดอกติดผลได้ไม่ยากนัก
เมื่อปรับช่วงการออกดอกในขนุนทะวายครั้งแรกสำเร็จจะส่งผลไปถึงการออกดอกติดผลของรุ่นที่ 2 ด้วย นั่นคือ ขนุนต้นนั้นจะออดอกในช่วงระยะเวลาที่ปรับไว้แล้วตลอดไปตราบเท่าที่ต้นยังสมบูรณ์
บำรุงขนุนออกดอกไม่เป็นรุ่นหรือมีผลหลายรุ่นในต้นเดียวกัน
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ ฮอร์โมนไข่ 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี. + เอ็นเอเอ.25 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 7-10 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 สลับกับ 21-7-14(½-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำสม่ำเสมอ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- ขนุนที่มีผลหลายรุ่นในต้นเดียวกันนั้นค่อนข้างยุ่งยากต่อการบำรุง แนวทางแก้ไขอย่างหนึ่ง คือ เก็บผลไว้ 2 รุ่นกับดอก 1 รุ่น ส่วนผลที่โตระหว่างรุ่นแรกกับรุ่น 2 ให้เก็บจำหน่ายเป็นขนุนอ่อนหรือจัดรุ่นโดยเด็ดดอกทิ้งตั้งแต่เริ่มแทงออกมาให้เห็นก็ได้
- ให้ฮอร์โมนเอ็นเอเอ. ฮอร์โมนไข่. 1-2 รอบ/2-3 เดือน
- ถ้าต้นติดผลดกมากควรให้ฮอร์โมนน้ำดำ กับ แคลเซียม โบรอน.1-2 รอบ/ 3-4 เดือน จะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากรับภาระเลี้ยงผลมาก
วิธีเก็บเกี่ยวขนุน:
1. ตรวจอายุผล ลักษณะผล และสุ่มเก็บลงมาผ่าผลตรวจภายในก็จะรู้ว่าผลชุดนั้นสมควรเก็บเกี่ยวได้แล้วหรือยัง
2. ตัดผลลงมาจากต้นแล้ววางผลเอียงลงบนพื้นให้น้ำยางในผลไหลออกมาตามขั้วจนหมด จากนั้นจึงนำไปบ่มตามปกติ ระหว่างการบ่มถ้าต้องการเร่งให้ผลสุกเร็วขึ้นให้ใช้ไม้ปลายแหลม ขนาดเล็ก 1 ใน 4 ของขั้วผล แทงเข้าไปในขั้วผลจนสุดขั้วและลึกถึงแกนในพอประมาณ แล้วนำไปบ่มตามปกติ การใช้ไม้แทงขั้วผลแบบนี้แม้ขนุนผลนั้นแก่ไม่จัดจริงก็สุกได้เหมือนกันแต่รสชาติอาจไม่เต็มร้อยเท่าผลแก่จัด
3. ตัดผลลงมาจากต้นแล้ววางผลเอียงไล่ยางออกจากผลจนหมด ตัดขั้วทางขวางแล้วใช้ฮอร์โมน อีเทฟอน ชนิดเดียวกันกับที่ใช้เร่งให้ทุเรียนสุก (ผลแก่ไม่จัดก็สุก) หรือใช้เร่งสับปะรดเพื่อให้เนื้อฉ่ำ (แต่เปรี้ยว) ทาบนขั้วที่รอยตัด จากนั้นนำไปบ่มตามปกติ ขนุนก็สุกได้เหมือนกัน
- ให้น้ำ 100 ล.+ ฮอร์โมนไข่ 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี. + เอ็นเอเอ.25 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 7-10 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 สลับกับ 21-7-14(½-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำสม่ำเสมอ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- ขนุนที่มีผลหลายรุ่นในต้นเดียวกันนั้นค่อนข้างยุ่งยากต่อการบำรุง แนวทางแก้ไขอย่างหนึ่ง คือ เก็บผลไว้ 2 รุ่นกับดอก 1 รุ่น ส่วนผลที่โตระหว่างรุ่นแรกกับรุ่น 2 ให้เก็บจำหน่ายเป็นขนุนอ่อนหรือจัดรุ่นโดยเด็ดดอกทิ้งตั้งแต่เริ่มแทงออกมาให้เห็นก็ได้
- ให้ฮอร์โมนเอ็นเอเอ. ฮอร์โมนไข่. 1-2 รอบ/2-3 เดือน
- ถ้าต้นติดผลดกมากควรให้ฮอร์โมนน้ำดำ กับ แคลเซียม โบรอน.1-2 รอบ/ 3-4 เดือน จะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากรับภาระเลี้ยงผลมาก
วิธีเก็บเกี่ยวขนุน:
1. ตรวจอายุผล ลักษณะผล และสุ่มเก็บลงมาผ่าผลตรวจภายในก็จะรู้ว่าผลชุดนั้นสมควรเก็บเกี่ยวได้แล้วหรือยัง
2. ตัดผลลงมาจากต้นแล้ววางผลเอียงลงบนพื้นให้น้ำยางในผลไหลออกมาตามขั้วจนหมด จากนั้นจึงนำไปบ่มตามปกติ ระหว่างการบ่มถ้าต้องการเร่งให้ผลสุกเร็วขึ้นให้ใช้ไม้ปลายแหลม ขนาดเล็ก 1 ใน 4 ของขั้วผล แทงเข้าไปในขั้วผลจนสุดขั้วและลึกถึงแกนในพอประมาณ แล้วนำไปบ่มตามปกติ การใช้ไม้แทงขั้วผลแบบนี้แม้ขนุนผลนั้นแก่ไม่จัดจริงก็สุกได้เหมือนกันแต่รสชาติอาจไม่เต็มร้อยเท่าผลแก่จัด
3. ตัดผลลงมาจากต้นแล้ววางผลเอียงไล่ยางออกจากผลจนหมด ตัดขั้วทางขวางแล้วใช้ฮอร์โมน อีเทฟอน ชนิดเดียวกันกับที่ใช้เร่งให้ทุเรียนสุก (ผลแก่ไม่จัดก็สุก) หรือใช้เร่งสับปะรดเพื่อให้เนื้อฉ่ำ (แต่เปรี้ยว) ทาบนขั้วที่รอยตัด จากนั้นนำไปบ่มตามปกติ ขนุนก็สุกได้เหมือนกัน
ขนุน วงการขนุนไทยซบเซาไปได้ระยะเวลาหนึ่ง มาถึงขณะนี้เริ่มมีเกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกขนุนกันเพิ่มขึ้น เนื่องจากขนุนจัดเป็นไม้ผลที่มีการจัดการดูแลรักษาไม่มาก มีการใช้สารปราบศัตรูพืชน้อยมาก เพียงแต่เตรียมพื้นที่ปลูกในสภาพดินมีการระบายน้ำที่ดีและปลูกในสภาพพื้นที่ดอนที่น้ำท่วมไม่ถึง จะเหมาะสมที่สุด อีกทั้งในขณะนี้ได้มีขนุนสายพันธุ์ใหม่อย่างน้อย 2 สายพันธุ์ ที่พิสูจน์แล้วว่าดีจริงในเรื่องของคุณภาพ และรสชาติของเนื้อคือ พันธุ์แดงสุริยา และ พันธุ์เพชรดำรง ซึ่งจัดเป็นขนุนหนังที่มีความแตกต่างกัน ในเรื่องของสีเนื้อและความเป็นมาของสายพันธุ์ คือ ขนุนพันธุ์แดงสุริยา เป็นขนุนที่มีเนื้อสีจำปาเข้มที คุณประภาส สุภาผล ได้ติดตามต้นพันธุ์ที่ได้จากการเพาะเมล็ดมานานหลายปีและชนะเลิศการประกวด ขนุนเนื้อสีจำปาหลายครั้งติดต่อกันจัดเป็นขนุนที่มีเนื้อหนาแห้ง หวานและกรอบ เหมาะที่จะนำไปแกะขาย สำหรับ พันธุ์เพชรดำรงเป็นขนุนที่มีเนื้อสีเหลือง เจ้าของพันธุ์คือ คุณดำรงศักดิ์ วิริยศิริ ได้ทำการผสมพันธุ์โดยใช้ขนุนพันธุ์คุณหญิงเป็นพ่อพันธุ์ และพันธุ์ทองประเสริฐ เป็นแม่พันธุ์ ใช้เวลานานถึง 10 ปี จึงได้ขนุน สายพันธุ์นี้ที่รวมเอาลักษณะเด่นของขนุนมาครบเกือบ ทุกประการ โดยเฉพาะมีเนื้อหนามากถ้ามีการบำรุงรักษาอย่างดีจะได้ขนุนที่มีเนื้อหนาถึง 2 เซนติเมตร ที่สำคัญเป็นสายพันธุ์ขนุน ที่เกิดขึ้นด้วยการผสมพันธุ์จากฝีมือมนุษย์ซึ่งนับว่าหาได้ยากมาก เนื่องจากขนุนสายพันธุ์ดี ๆ ในอดีตที่ผ่านมาเกิดจากคัดเลือกต้นจากการเพาะเมล็ดทั้งหมด ในปัจจุบันนี้เริ่มมีเกษตรกรได้นำขนุนพันธุ์แดงสุริยาไปปลูกในเชิงพาณิชย์จนได้ผลผลิตแล้วพบว่า ใช้เวลาปลูกเพียง 2-3 ปีเท่านั้นจะเริ่มติดผลและจัดเป็นขนุนทวายโดยธรรมชาติที่ให้ผลผลิต ปีละ 2 รุ่น คือ รุ่นแรกจะเก็บผลผลิตได้ช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน และรุ่นที่ 2 เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม สำหรับพันธุ์เพชรดำรงอยู่ในระหว่างการติดตามผล เนื่องจากเริ่มมีการเผยแพร่พันธุ์ไปปลูกได้เพียง 1-2 ปีเท่านั้น แต่จากการดูแลตรวจสอบจากต้น แม่พันธุ์จัดเป็นขนุนที่ให้ผลผลิตดก เนื้อหนาจริงและรสชาติกรอบอร่อย เมื่อนำมาแกะเนื้อขายจะวางตลาดได้นานเพราะเนื้อไม่เละ เมล็ดมีขนาดเล็กมากอีกทั้งเยื่อหุ้มเมล็ด บางผลที่มียวงหนามาก ๆ บางผลชั่งเฉพาะเนื้อจะได้น้ำหนัก 5-6 ยวงต่อ 1 กิโลกรัม ในการปลูกขนุนให้ประสบผลสำเร็จสิ่งที่เกษตรกรจะต้องดูแลเป็นพิเศษคือเรื่องของการตัดแต่งกิ่ง เมื่อต้นขนุนมีอายุได้ 3 ปี จะเริ่มออกดอกและติดผลจะต้องมีการตัดแต่งกิ่งให้แสงแดดผ่านถึงลำต้น เพื่อให้มีสภาพอากาศถ่ายเทได้ดี และถ้าจะให้ขนุนที่มีลักษณะผลและยวงที่ดีเกษตรกรควรจะช่วย ผสมพันธุ์ โดยผสมพันธุ์ในช่วงเวลาเช้าจะเหมาะสมที่สุด. ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ ที่มา : เดลินิวส์ แดงสุริยา และ เพชรดำรง ขนุนดียุคปัจจุบัน ในช่วงเวลาผ่านมาประมาณ 30 ปี การพัฒนาการปลูกขนุนในบ้านเรามีมาอย่างต่อเนื่อง คนไทยเริ่มคุ้นเคยกับขนุนพันธุ์ดีที่มีเนื้อหนาและรสชาติอร่อย เริ่มตั้งแต่พันธุ์ฟ้าถล่ม ทองสุดใจ แม่น้อยทวาย เบา เปลือกหวาน ฯลฯ มาสู่ยุคที่มีการขยายพื้นที่ปลูกขนุนกันมากที่สุดคือ พันธุ์ทองประเสริฐ ศรีบรรจง และเพชรราชา เป็นต้น หลังจากนั้นมาวงการขนุนเริ่มซบเซา เกษตรกรมีการขยายพื้นที่ปลูกกันน้อยลง ทั้งๆ ที่ขนุนเป็นไม้ผลอีกชนิดหนึ่งที่นำมาปลูกใน ระบบเกษตรอินทรีย์หรือเกษตรปลอดสารพิษได้เพราะมีการฉีดพ่นสารปราบศัตรูพืชน้อยมาก ตลาดหลักในการบริโภคขนุนไทยยังนิยมบริโภคสดและอาชีพการแกะขนุนขายยังสร้างรายได้ที่ดี ถ้าได้ขนุนพันธุ์ดี สีสวย เนื้อแห้ง และมีรสชาติหวาน กรอบ หลายคนทราบดีว่า ขนุนสายพันธุ์ดีๆ ที่มีการขยายพื้นที่ปลูกในประเทศไทยนั้น เกือบทั้งหมดได้มาจากการกลายพันธุ์ด้วยเมล็ด และในแต่ละสายพันธุ์จะมีลักษณะดีเด่นและด้อยแตกต่างกันไป ไม่มีขนุนสายพันธุ์ใดที่มีลักษณะดีเด่น ครบถ้วน ซึ่ง ได้แก่ "เนื้อหนา มีความกรอบและแข็ง รสชาติหวาน สีสวย เมล็ดเล็ก เยื่อที่หุ้มเมล็ดบาง และเนื้อบริเวณที่ติดโคนเมล็ดจะต้องน้อยที่สุด ที่สำคัญเปอร์เซ็นต์เนื้อในแต่ละผล จะต้องมีมากกว่า 50% ขึ้นไป" ในบรรดาขนุนเนื้อสีจำปา คนไทยมักจะคุ้นกับพันธุ์จำปากรอบ หรือถ้าเป็นนักกินขนุนจริงๆ จะรู้จักพันธุ์แดงรัศมี แต่ขนุนทั้งสองพันธุ์นี้มีจุดอ่อนตรงรสชาติ และสีของเนื้อที่มีความแปรปรวนตามสภาพพื้นที่ปลูกและสภาพแวดล้อม เช่น ถ้าขนุนแก่ในช่วงฤดูฝนความเข้มของเนื้อสีแดงจะจางลง คุณประภาส สุภาผล บ้านเลขที่ 33/4 หมู่ที่ 7 ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี 20260 มีประสบการณ์ในการปลูกขนุนมานาน ได้มีความพยายามที่จะค้นหา สายพันธุ์ขนุนที่มีเนื้อสีจำปา (สีแดงออกเข้ม) มานาน ปัจจุบันได้พบขนุนต้นหนึ่งในเขตอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ที่ปลูกด้วยเมล็ด มีอายุต้นกว่า 40 ปี ติดตามและตรวจสอบการให้ผลผลิต และคุณภาพอยู่นานหลายปี พบว่า เมื่อผ่าผลดูลักษณะภายใน พบว่า เป็นขนุนที่มีเนื้อสีแดงเข้มหรือ สีจำปาเข้ม รสชาติหวาน กรอบ เนื้อแข็ง (เนื้อไม่นิ่มเหมือนกับขนุนพันธุ์อื่นๆ) แกนกลางเล็ก มียางน้อยมาก และมีเปอร์เซ็นต์เนื้อไม่น้อยกว่า 50% และมีการตั้งชื่อว่า "แดงสุริยา" จัดเป็นขนุนพันธุ์ เบา เมื่อนำกิ่งที่ได้จากการทาบกิ่งหรือติดตามาปลูกใช้เวลาเพียง 3 ปี เท่านั้น จะเริ่มให้ผลผลิต ที่สำคัญจัดเป็นขนุนพันธุ์ทะวายโดยธรรมชาติ ที่ให้ผลผลิตปีละ 2 รุ่นใหญ่ๆ คือ รุ่นแรกแก่ เดือนมีนาคม-เมษายน และรุ่นที่ 2เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม คุณประภาส ได้ส่งขนุนพันธุ์นี้เข้าประกวดในงานไม้ผลและของดีจังหวัดปราจีนบุรี ได้รับรางวัลชนะเลิศหลายปีติดต่อกันในประเภทขนุนเนื้อสีจำปา "แดงสุริยา" ยังมีลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งคือ มีปริมาณของดอกตัวผู้หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "ส่า" มากกว่าปกติ ทำให้ส่งผลดีต่อการผสมเกสร ช่วยให้มีการติดผลที่ดีขึ้น นอกจากนั้น ยังจัดเป็นขนุนที่มีอายุ การเก็บเกี่ยวสั้นคือ หลังจากดอกบานจนผลแก่ ใช้เวลาเพียง 3 เดือนครึ่ง-4 เดือน เท่านั้น ขณะนี้เริ่มมีแม่ค้านำขนุนแดงสุริยามาแกะเนื้อขายและขายเปรียบเทียบกับขนุนพันธุ์ดีเนื้อสีเหลือง คนจะเลือกซื้อขนุนเนื้อสีจำปาเข้มมากกว่า ซึ่งขายถึงผู้บริโภคราคากิโลกรัมละ 60-80 บาท บางช่วงผลผลิตออกน้อยขายผลผลิตแบบยกผล ในราคาถึงผลละ 600 บาท (น้ำหนักผลเฉลี่ย 10 กิโลกรัม) คุณดำรงศักดิ์ วิรยศิริ บ้านเลขที่ 90 หมู่ที่ 4 ตำบลวังชมภู อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ 67210 เป็นเกษตรกรที่ให้ความสนใจในการปรับปรุงพันธุ์ไม้ผล เริ่มต้นผสมพันธุ์ ขนุนตั้งแต่ ปี พ.ศ.2542 โดยใช้ขนุนพันธุ์คุณหญิงเป็นพ่อพันธุ์ ขนุนพันธุ์คุณหญิง จัดเป็นขนุนพันธุ์ดีอีกสายพันธุ์หนึ่งของไทยที่มีการปลูกมานานแล้ว ซึ่งเจ้าของพันธุ์ คือ ม.ร.ว.มนทรีย์ รุ่งเรืองสุข และขนุนต้นแม่ดั้งเดิมปลูกอยู่ที่ซอยพระอรรถราชปรารภ กรุงเทพมหานคร และปัจจุบันต้นแม่พันธุ์ถูกน้ำท่วมได้ตายไปแล้ว คุณดำรงศักดิ์ วิรยศิริ ได้กิ่งพันธุ์มา 1 ต้น ได้มานานกว่า 30 ปีแล้ว เหตุผลที่ขนุนสายพันธุ์นี้ไม่เป็นที่รู้จักมากนักเพราะ ไม่มีการเผยแพร่ และสมัยแรกๆ จะค่อนข้างหวงพันธุ์ แต่มาถึงปัจจุบันเริ่มมีขนุนสายพันธุ์นี้มาแกะขาย และเกษตรกรที่ปลูกขายผลผลิตจากสวนได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 15 บาท โดยชั่งทั้งผล นับว่าได้ราคาดีพอสมควรและแม่ค้าที่ซื้อผลผลิตไปขายจะชอบใจเป็นพิเศษ ตรงที่เป็นขนุนที่ผ่าออกมา แล้วได้เปอร์เซ็นต์เนื้อมากกว่า 60% ถ้าพูดแบบชาวบ้านก็คือ มีแต่เนื้อ พบซังน้อยมาก และ พันธุ์ทองประเสริฐเป็นแม่พันธุ์ ในหนังสือ "ชนิดและพันธุ์ไม้ผลเมืองไทย" ซึ่งเขียนโดย รศ.วิจิตร วังใน ได้บอกถึงประวัติความ เป็นมาของขนุนพันธุ์ทองประเสริฐได้มาจากการเพาะด้วยเมล็ดขนุนไม่ทราบชื่อพันธุ์ ซึ่งนำมาจาก อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2530 และคัดเลือกต้นที่มีลักษณะดีไว้ 1 ต้น จากจำนวน 20 ต้น ที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เมื่อปี พ.ศ. 2540 ได้ขยายพันธุ์เพิ่มจำนวน ประมาณ 1,000 ต้น ปลูกเป็นขนุนนอกฤดู สามารถให้ผลิตผลได้ 2 รุ่น ต่อปี โดยเก็บเกี่ยวได้ ประมาณ 135 วัน หลังดอกบาน คือประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม และช่วงเดือนกรกฎาคม ผลเป็นแบบผลรวม รูปทรงค่อนข้างกลมถึงกลมรี ผิวเปลือกผลมีสีเขียวจนถึงผลแก่ และอาจจะมี สีน้ำตาล มียางน้อย เนื้อสีเหลือง ค่อนข้างเหนียว รสชาติหวาน ค่าความหวาน 22-23 องศาบริกซ์ การเริ่มต้นผสมพันธุ์ขนุนนั้น คุณดำรงศักดิ์ บอกว่า เกษตรกรจะต้องรู้จักดอกตัวผู้และดอกตัวเมียขนุน เป็นลำดับแรก วิธีสังเกตง่ายๆ ดอกตัวผู้จะมีลักษณะก้านเล็ก ส่วนดอกตัวเมียจะมีก้านใหญ่และ มักจะออกจากลำต้นหรือกิ่งใหญ่ เมื่อเลือกดอกตัวเมียได้แล้วเราจะต้องใช้ถุงคลุมดอกเอาไว้ เมื่อดอกตัวเมียมีความพร้อมจะเห็นหนาม จะออกมาเป็นแฉกๆ ควรจะผสมพันธุ์ในช่วงเวลาเช้า เด็ดเอาดอกตัวผู้ของพันธุ์คุณหญิงมาทาบริเวณแฉกของดอกตัวเมียพันธุ์ทองประเสริฐ หลังจากทา แล้วจะต้องคลุมถุงให้มิดชิด หลังจากนั้นประมาณ 7 วัน เปิดถุงดูว่าผสมติดแล้วมีขนาดของผลใหญ่ขึ้น และไม่มีอะไรมารบกวน เปิดแล้วจะต้องหาถุงมาห่อผลจนผลแก่ ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 4 เดือน ถึง 4 เดือนครึ่ง เมื่อขนุนลูกผสมสุกคุณดำรงศักดิ์ได้คัดเลือกเมล็ดที่มีความสมบูรณ์มาเพาะ และนำไปปลูกในแปลงได้ขนุนสายพันธุ์ใหม่ ประมาณ 60 ต้น มาถึงปี พ.ศ. 2552 บรรดาขนุน ลูกผสมที่เพาะเมล็ดทั้งหลายได้ออกดอกและติดผลกันเกือบทุกต้น จากการใช้เวลาในการผสมพันธุ์ขนุน นาน 5 ปี คุณดำรงศักดิ์ บอกว่า คุ้มกับเวลาที่เสียไป เพราะได้ขนุนพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นมาจาก ฝีมือมนุษย์ ไม่ต้องเสียเวลาไปคัดเลือกจากธรรมชาติ พบว่า หลายต้นมีแนวโน้มจะเป็นพันธุ์ที่ ดีกว่าพ่อและแม่พันธุ์ ตัวอย่างต้นที่ 18 ให้ผลผลิตที่มีเนื้อหนาประมาณ 2 เซนติเมตร เมื่อนำมาชั่ง ได้น้ำหนัก 5 ยวง ต่อกิโลกรัม และได้ตั้งชื่อว่า "เพชรดำรง" บางต้นให้ผลผลิตดกมาก และมีลักษณะของทรงผลกลมและขนาดของผลไม่ใหญ่จนเกินไป มีน้ำหนักเฉลี่ย 2-3 ผล ต่อกิโลกรัม ขนาดของผลใหญ่ๆ พอกับผลทุเรียน ในอนาคตตลาดมีความต้องการผลขนุนที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก สะดวกต่อการบริโภคและซื้อเป็นของฝาก เมื่อได้เมล็ดและนำไปเพาะให้ต้นมีความสูงประมาณ 1 ศอก หลังจากนั้น จะนำต้นเพาะเมล็ดมายกตุ้มทาบกับต้นขนุนใหญ่ ใช้เวลาเพียง 1-2 ปี ก็จะทราบผลว่าเป็นขนุนพันธุ์ดีหรือไม่ ขนุนพันธุ์เพชรดำรง ที่มีลักษณะดีเด่นมากมายหลายประการ อาทิ จัดเป็นขนุนเนื้อสีเหลืองที่มี ความหนามาก ถ้าผลสมบูรณ์เต็มที่และมีการบำรุงรักษาอย่างดี เนื้อจะหนาถึง 2 เซนติเมตร เมื่อนำเนื้อไปชั่งน้ำหนักจะได้ 5 ยวง ต่อ 1 กิโลกรัม เนื้อมีความแข็งและกรอบ เมื่อนำมาแกะขาย จะวางตลาดอยู่ได้นาน เพราะเนื้อไม่เละ เมล็ดมีขนาดเล็กมาก อีกทั้งเยื่อหุ้มเมล็ดบาง (ในขณะที่พันธุ์ทองประเสริฐมีขนาดของเมล็ดใหญ่กว่า และเยื่อหุ้มเมล็ดหนา) และได้มีการใช้ ชื่อสายพันธุ์ว่า "เพชรดำรง" จัดเป็นขนุนสายพันธุ์ดีที่น่าส่งเสริมให้มีการขยายพื้นที่ปลูกอีกสายพันธุ์ หนึ่ง ที่สำคัญเป็นขนุนพันธุ์ดีที่ได้จากความพยายามและผสมพันธุ์ด้วยฝีมือมนุษย์ ใช้เวลายาวนานถึง 10 ปี เมื่อขยายพันธุ์ด้วยวิธีการทาบกิ่งและนำไปปลูก ใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี จะเริ่มให้ผลผลิต และมีขนาดน้ำหนักผลเฉลี่ย 8-10 กิโลกรัม ผู้เขียนได้ทดลองชิมขนุนลูกผสมพันธุ์ดีจะต้องยอมรับ ว่ามีรสชาติหวานอร่อยมาก เหมาะที่จะปลูกเพื่อแกะยวงขาย นอกจากนั้น ด้วยความหนาของเนื้อ ยังสามารถนำไปแปรรูปโดยการเชื่อมหรือนำไปทอดแบบทุเรียนทอดกรอบได้ สภาพแวดล้อมและการปลูกขนุน 1. ชนิดของดิน ขนุนเป็นไม้ผลที่ขึ้นได้ในดินเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นดินร่วน ดินร่วนปนทราย ดินทราย ดินเหนียว ดินลูกรัง ปกติขนุนชอบดินร่วน หรือดินร่วนปนทรายที่ต้องระบายน้ำดี ส่วนดินเหนียวหรือดินทรายต้องมีการปรับปรุงด้วยการใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก มากๆ จะช่วยให้ขนุนเจริญเติบโตได้ดีขึ้น 2. ความสมบูรณ์ของดิน ขนุนชอบดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง มีอินทรียวัตถุมาก ซึ่งทำให้ดินมีสีดำ ขนุนจะเจริญเติบโตได้เร็ว ให้ผลดก ผลใหญ่ เนื้อยวงมีสีเข้ม และมีรสหวานกว่าขนุนที่ปลูกในดิน ที่มีสภาพความสมบูรณ์ต่ำ อาจสังเกตว่าพืชที่ขึ้นปกคลุมอยู่นั้น ถ้ามีการเจริญเติบโตดี ใบมีสีเขียวเข้ม แสดงว่าดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง 3. ความเป็นกรด-ด่างของดิน ขนุนขึ้นได้ในดินที่มีค่าความเป็นกรด-ด่าง 6-7.5 ถ้าดินมีค่าความ เป็นกรด-ด่างต่ำกว่า 6.0 ดินจะเป็นกรด ซึ่งจะเกิดการตรึงจุลธาตุและฟอสเฟต ต้องปรับแก้โดยการ ใช้ปูนเพื่อการเกษตร นิยมใช้ปูนโดโลไมต์ ปูนมาร์ล การปรับแก้ความเป็นกรดของดินต้องใช้หลักการ ใส่ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง เพื่อให้เกิดการปรับตัวขึ้นทีละน้อยๆ ช่วงความเป็นกรด-ด่าง ระดับ 6.0-7.5 ช่วงนี้ทำให้ขนุนสามารถใช้ปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขนุนจะตอบสนองต่อปุ๋ยอย่างเต็มที่ 4. ทำเลปลูกขนุน ต้องเป็นที่ที่น้ำไม่ท่วม และดินต้องมีการระบายน้ำได้ดี ต้นขนุนไม่ชอบน้ำท่วมขัง ดังนั้น พื้นที่ลุ่มที่ใช้ปลูกขนุนจึงต้องทำโคกหรือทำสันร่องแบบร่องจีนจึงปลูกขนุนได้ สรุปได้ว่า การปลูกขนุนในเชิงพาณิชย์ในอนาคตจำเป็นต้องมีการจัดการดูแลเพิ่มเติมกว่าที่เคยปฏิบัติมา โดยเฉพาะในเรื่องของการให้ปุ๋ยและน้ำ ต้นขนุนไม่ชอบสภาพพื้นที่ปลูกที่มีน้ำขังแฉะหรือมีการระบายน้ำไม่ดี สำหรับเรื่องโรคและแมลงศัตรูขนุนถือว่าน้อยกว่าไม้ผลเศรษฐกิจชนิดอื่นๆ สามารถผลิตในระบบอินทรีย์หรือปลอดสารพิษได้ หนังสือ "ไม้ผลแปลกและหายาก เล่ม 2" พิมพ์ 4 สี แจกฟรีพร้อมกับ หนังสือ "ไม้ผลแปลก และหายาก เล่ม 1" รวม 2 เล่ม จำนวน 168 หน้า มีแจกฟรี เกษตรกรและผู้สนใจ เขียนจดหมายสอดแสตมป์ เป็นมูลค่า 50 บาท ส่งมาขอได้ที่ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร เลขที่ 2/395 ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร 66000 สามารถแยกได้เป็น 2 ประเภทคือ ประเภทที่มีเนื้อเป็นสีเหลือง กับประเภทที่มีเนื้อเป็นสีส้ม นิยมเรียก กันว่า "ขนุนสีจำปา" รสชาติทั้ง 2 ประเภทที่กล่าวถึงจะมีความหวานกรอบอร่อยแตกต่างกัน ปัจจุบัน มีผู้นำกิ่งพันธุ์ขนุนใหม่ๆออกวางขาย ซึ่งพบว่ามีอยู่ 2 พันธุ์น่าสนใจ มีรูปของผลติดโชว์ไว้กับต้น ให้ชมด้วย โดยสายพันธุ์แรกที่จะแนะนำได้แก่ขนุนที่มีชื่อว่า "ขนุนยักษ์พันธุ์รุ่งทวี" ผู้ขายบอกว่า ขนุนชนิดนี้มีลักษณะเด่นคือ ผลจะมีขนาดใหญ่มาก เคยชนะเลิศการประกวดขนุนประเภทขนุนยักษ์มา แล้วถึง 6 ครั้งซ้อน นอกจากจะมีผลขนาดใหญ่แล้ว เนื้อของผลยังมีความหวานหอมอร่อยกรอบอีกด้วย เนื้อเป็นสีเหลืองเข้ม ให้ปริมาณเนื้อมากเกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล ผล เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดใหญ่มาก น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 6070 กิโลกรัมต่อผล ผลเมื่อแก่จัดจะไม่แตก หรือปริ และที่ถือว่าเป็นข้อดีอีกอย่างของ "ขนุนยักษ์ พันธุ์รุ่งทวี" คือ จะติดผลปีละ 2 ครั้ง เวลาปลูกแล้ว ติดผลขนาดใหญ่จะตื่นตาตื่นใจมาก หนึ่งผลต้องใช้คนยก 2 คน "ขนุนยักษ์พันธุ์รุ่งทวี" มีถิ่นดั้งเดิมอยู่ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผง "คุณภิญโญ" ตรงกันข้ามโครงการ 13 ราคาสอบถามกันเอง ขนุนสายพันธุ์ที่ 2 คือ "ขนุนเหลืองบางเตย" เป็นขนุนพันธุ์เก่าแก่ มีประวัติเป็นของกำนันประสาน การะเวก อยู่ที่ ต.บางเตย อ.สามพราน จ.นครปฐม จากนั้นได้มีการขยายพันธุ์ขายให้คนซื้อไปปลูกทั่วไป มีลักษณะเด่นคือ ผลจะเป็นรูปไข่ ผลเมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 15 กิโลกรัมต่อผล เนื้อหรือ "ยวง" เป็นสีเหลืองจัด รสชาติหวานกรอบ ไม่เละ และเนื้อหนา เป็นขนุนสายพันธุ์ที่ติดผลดกมาก ติดผลปีละครั้ง ให้เนื้อเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล มีกิ่งตอนขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 19 แผง "นายดาบสมพร" ราคาสอบถามกันเองเช่นกัน ขนุน ทุกชนิดมีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ ARTOCARPUS HETERAPHYLLUS LAMK. อยู่ในวงศ์ MORACEAE ประโยชน์ทางยา ผลอ่อนเป็นยาระบาย แก่นบดกินเป็นยาระบาย กินขนุนทำให้ผิวพรรณดี เมล็ดช่วยขับน้ำนมสตรีหลังคลอดด้วยครับ ที่มา : ไทยรัฐ วิธีผสมพันธุ์ขนุน
เลือกดอกตัวผู้จะมีลักษณะก้านเล็ก ส่วนดอกตัวเมียจะมีก้านใหญ่และมักจะออกจากลำต้นหรือกิ่งใหญ่ เมื่อเลือกดอกตัวเมียได้แล้วเราจะต้องใช้ถุงคลุมดอกเอาไว้ เมื่อดอกตัวเมียมีความพร้อมจะเห็นหนาม จะออกมาเป็นแฉกๆ ควรจะผสมพันธุ์ในช่วงเวลาเช้า เด็ดเอาดอกตัวผู้มาทาบริเวณแฉกของดอกตัวเมียหลังจากทาแล้วจะต้องคลุมถุงให้มิดชิด หลังจากนั้นประมาณ 7 วัน เปิดถุงดูว่าผสมติดแล้วมีขนาดของผลใหญ่ขึ้นและไม่มีอะไรมารบกวน เปิดแล้วจะต้องหาถุงมาห่อผลจนผลแก่ ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 4 เดือน ถึง 4 เดือนครึ่ง เมื่อขนุนลูกผสมสุกคัดเลือกเมล็ดที่มีความสมบูรณ์มาเพาะ และนำไปปลูกในแปลง
ขนุนไพศาลทักษิณ การปลูกต้นขนุนในบริเวณบ้าน โดยเฉพาะปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ (หรดี) จะหนุนเนื่องบุญบารมี เงินทอง จะมีคนเกื้อหนุน และอุดหนุนจุนเจือ นอกจากนี้ ชาวเหนือใช้ใบขนุนร่วมกับใบพุทรา ใบพิกุล (แก้ว) นำมาซ้อนกัน แล้วนำไปไว้ในยุ้งข้าว ตอนเอาข้าวขึ้นยุ้งใหม่ๆ เชื่อกันว่าจะทำ ให้หนุนนำและส่งผลให้มีข้าวกินตลอดปี และตลอดไป นอกจากนี้ ยังมีไม้มงคลที่คนไทยนิยมปลูกต้นไม้ในบ้านตามคติความเชื่อ โดยทั่วๆ ไป หน้าบ้าน จะปลูก มะยม เอาชื่อเป็นเคล็ดว่า จะเป็นที่นิยมของคนอื่นเขา บางบ้านปลูก มะขาม เอาชื่อเป็นเคล็ดถึงความเกรงขาม หลังบ้านปลูก ขนุน บางบ้านปลูก มะดัน ก็เอาเคล็ดอีกว่า จะมีคนเกื้อหนุน ผลักดันให้เจริญก้าวหน้า และยังเชื่อกันว่า การปลูกขนุนจะให้ดีนั้น ต้องปลูกในวันศุกร์...นี่ก็เอาเคล็ดอีกชั้นหนึ่ง ใช่แต่ชาวบ้านเท่านั้น ที่นิยมปลูกขนุนเอาไว้หลังบ้าน ในพระบรมมหาราชวัง ก็เช่นเดียวกัน ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เจ้าจอมมารดาเที่ยง ปลูกขนุนเอาไว้หลัง พระที่นั่งไพศาลทักษิณ นอกจากเป็นการนับถือคติโบราณแล้ว ยังเอาไว้เพื่อทรงหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ หลังพระราชพิธีสงฆ์ ซึ่งรวมแล้วน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๕๐ ปี ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดมาก และได้นำเนื้อเยื่อไปขยายพันธุ์ เป็นผลสำเร็จ แล้วพระราชทานนามว่า ขนุนพันธุ์ไพศาลทักษิณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระที่นั่งองค์นี้ต่อเนื่องกับท้องพระโรงหน้าพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ทางด้านเหนือสร้างทอดยาวจากทิศตะวันตก มีความยาว ๓๕ เมตร กว้าง ๘ เมตร ยกพื้นสูงประมาณ ๒ เมตร ปกติไม่เปิดให้เข้าชม มองเห็นได้จากด้านข้าง ตอนกลางพระที่นั่งทำ เป็นคูหา เปิดโล่ง มีอัฒจันทร์ (บันได) ทางขึ้นลงตอนกลาง และทางเฉลียงชั้นลด ของปีกพระที่นั่ง ทั้ง ๒ ด้านด้วยหลังคามุงกระเบื้องเคลือบสี มีเครื่องตกแต่งเช่นเดียวกับหลังคามุงกระเบื้อง ที่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน หน้าบันพื้นประดับกระจก ประกอบลายจำหลักเป็น สมเด็จพระอมรินทราธิราช ประทับเหนือวิมานปราสาทสามยอด มีลายกระหนกหลายก้านขดหัวนาค เป็นลายล้อมเช่นเดียวกับหน้าพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ด้านเหนือของพระที่นั่งองค์นี้ จะต่อเนื่องกับ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย มีพระบัญชรเปิดสู่พระที่นั่งอมรินทรฯ รวม ๑๐ ช่อง หากไปชมทั้ง ๓ พระที่นั่ง ก็จะมองเห็นจากนอกกำแพง โดยมองจากประตูเหล็ก โปร่งเข้าไป ส่วนพระที่นั่งอมรินทร์ เห็นด้านข้างได้ชัดเจน จากนอกกำแพง พระที่นั่งไพศาลทักษิณ แทบจะไม่เห็นอะไรเลย แต่หากไปวันนี้ มองไปทางหลังทหารมหาดเล็กที่ยืนยาม จะมองเห็น ประตูสยามราชกิจ มองผ่านไปประตูเล็กเข้าไป ห่างจากประตูสัก ๒๐ เมตร ทางซ้ายมือ เชิงบันไดขึ้นพระที่นั่ง จะมองเห็นต้น ขนุน ใหญ่ อยู่ต้นหนึ่ง อายุกว่า ๑๕๐ ปีแล้ว ยังออกลูกอยู่ ขนุนไพศาลทักษิณ ผลมีขนาดปานกลาง ผิวเปลือกสีเหลือง ลักษณะผลค่อนข้างกลม เนื้อหนา และรสหวานจัด ขนุนไพศาลทักษิณนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสให้อนุรักษ์ไว้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงทำโครงการขยายพันธุ์ ด้วยวิธีที่รวดเร็วกว่าเดิม นั่นคือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แจกจ่ายให้ประชาชนที่สนใจนำไปปลูกไว้เพื่อความเป็นสิริมงคล ทั้งนี้ ใน วันพืชมงคล วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ พร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปทรงเปิดอาคารห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อ เยื่อพืชที่โครงการส่วนพระองค์ฯ สวนจิตรลดา และทรงมีพระราชกระแสให้อนุรักษ์ต้นขนุน หลังพระตำหนักไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง ความสำเร็จของการใช้วิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชขยายพันธุ์ขนุนไพศาลทักษิณ นำไปสู่การขยายพันธุ์ ต้นไม้ที่มีลักษณะพิเศษ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระราชวังต่างๆ แล้วอนุรักษ์พันธุ์ไม้อีกหลายชนิด ได้แก่ พุดสวน มณฑา ยี่หุบ ที่อยู่ในพระบรมมหาราชวัง และ สมอไทย ในพระที่นั่งอัมพรสถานมงคล ในขณะเดียวกัน ก็ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี การเก็บรักษาพันธุกรรมของพืชเอกลักษณ์ในสภาวะ ปลอดเชื้อ ในอุณหภูมิต่ำ เพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๑ ซึ่งป็น วันพระราชพิธีพืชมงคล หลังจากที่ได้ทำพิธี ณ ท้องสนามหลวงแล้ว จะมาทำพิธีที่นาในพระตำหนักจิตรลดาอีกครั้ง ซึ่งข้าวที่ปลูกในนานี้ จะนำไปให้พระยาแรกนาโปรยหว่าน ที่พระราชพิธีแรกนาขวัญ ชุดเดียวกับที่ทำ ณ สนามหลวง ส่วนข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ และเหล่าราชองครักษ์ จะได้ตามเสด็จเข้ามายังพระราชพิธี ในโครงการส่วนพระองค์ด้วย หลังเสร็จพิธีในโครงการส่วนพระองค์แล้ว จะเสด็จไปรับเกษตรกร ที่จะมารอเข้าเฝ้าจากจังหวัดต่างๆ ต่อจากนั้นจะเสด็จไปยังโครงการส่วนพระองค์ เช่น ทอดพระเนตรการทำนมเม็ด การผลิตจากการเกษตรต่างๆ และในปีนั้น ได้เสด็จนำไปยังกลุ่ม ขนุน ที่วางไว้หลายต้น สูงประมาณ ๑ เมตรเศษๆ และรับสั่งว่า เป็น ขนุน ที่เพาะจากเนื้อเยื่อ จะแจกจ่ายให้ไปปลูกกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้ทุกจังหวัด นับหมื่นต้น แต่ส่วนมากปลูกแล้วตายหมด เพราะไม่เข้าใจวิธีปลูก พันธุ์ไม้ที่เพาะจากเนื้อเยื่อย่อมอ่อนแอ และไม่มีรากแก้ว จะให้แข็งแรง ต้องเอาเม็ดขนุนพันธุ์ที่ไม่จำเป็นต้องเนื้อดี ขอให้เม็ดโตๆ เข้าไว้ เอาเม็ดไปเพาะ พอโตสักคืบ ก็ตัดยอด แล้วเอายอดจากขนุนไพศาลทักษิณมาเสียบ ต้นจะแข็งแรง กลายเป็นไม้มีรากแก้ว ออกลูกดกเหมือนขนุนไพศาลทักษิณ ที่ปลูกไว้ในสวนสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่ติดกับสวนจตุจักร ที่ปลูกไว้หลายสิบต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อวัด หน่วยงานราชการ และภาคเอกชน ได้รับพระราชทานขนุนไพศาลทักษิณ ก็จะจัดขบวนต้อนรับ เพื่อความเป็นสิริมงคล อย่างเช่นเมื่อเร็วๆ นี้ น.ส.ฤชุกร พฤกษ์วัฒนา หัวหน้าผู้ตรวจสอบสำนักราชวัง ได้ขอพระราชทานต้นขนุนไพศาลทักษิณ ๓ ต้น เพื่อถวาย พระอาจารย์เกษมสุข เขมสุโข (ตรีเพชร) วัดประดู่ธรรมาธิปัตย์ บางซื่อ กรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปปลูก ณ วัดประดู่ธรรมาธิปัตย์ สร้างความปีติให้แก่พระเณร และพุทธศาสนิกชนใกล้วัดเป็นอย่างยิ่ง เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู" http://www.komchadluek.net/detail/20090306/3962/%E0%B8%82%E0%B8%99%E 0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2 %E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8% B4%E0%B8%93%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0% B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0 %B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A1 %E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8 %B2%E0%B8%8A%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99.html http://www.nanagarden.com/Content.aspx?ContentID=10401
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=34&page=3
|